วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

สอนลูก เด็กยุคใหม่ กับ Fake News

สอนลูก เด็กยุคใหม่ กับ Fake News 

เด็กยุคนี้มือถือมีกันแทบทุกคน  เป็นสมาชิก Social media ในทุกค่าย  รับข้อมูลข่าวสารก็ทุกวัน ดังนั้น รับอะไรมา อย่าเพิ่งเชื่อ หรือส่งต่อทันที คิดให้ดีๆก่อนที่จะ Share ออกไป 🆘️🆚️🆙️🆘️

ทำความเข้าใจ Fake News มี 2 แบบคือ 

1.ข่าวที่ปล่อยออกมาจากความไม่รู้ของคนที่ปล่อย  ซึ่งมันไม่ตรงกับความเป็นจริง คิดไปเอง มโนไปเอง ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง 

2.ข่าวที่ปล่อยออกมาด้วยความตั้งใจ ที่จะมีการบิดเบือนข่าว หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง  เพื่อดิสเครดิต หรือไม่ก็เพื่อความสนุกสนาน 

เยอะมากในสังคมไทย ไม่ว่าจะปล่อยด้วยสาเหตุใดก็ตาม มันมีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับสังคม.....

ถ้า Fake News มีการแพร่ขยายออกไปเยอะ ไม่ได้มีการพิสูจน์ และเกิดความเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง  มันอธิบายถึงคุณภาพการศึกษาในสังคมนั้นๆ.... 🤭

สอนลูกๆนะครับ  ให้คิดดีๆก่อน share  
บริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ แบบที่เด็กยุคใหม่ควรจะเป็น 😊

#ดีต่อลูก

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

การรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าหรือ Self-Esteem สำคัญมากๆ

การรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าหรือ Self-Esteem สำคัญมากๆ   " ที่จะต้องมีอะไรสักอย่าง ที่เด็กคนนึงจะสามารถยึดไว้ได้ "  เพื่อลากเค้าไปสู่อนาคต....
เห็นมาหลาย Case มาก เช่น

1.ที่บ้านไม่ดี ไม่ครบ ขาด   แต่เรียนเก่ง ที่โรงเรียนให้ความชื่นชม  Self-Esteem ก็เกิด  รู้สึกตัวเองมีคุณค่าจากการเรียน  อาจจะเกเร เหลวไหล แต่การเรียนไม่ตก จะไปทำอะไรก็ตามรู้ว่าต้องกลับมาเรียน 

2.การเรียนแย่ ที่โรงเรียนไม่มีตัวตน แต่ที่บ้านให้ความรัก ให้ความสำคัญ ปลอดภัย มีความสุข   
Self - Esteem ก็เกิด ที่บ้านเห็นคุณค่า  อาจจะเรียนไม่ดี ไม่ชอบเรียน แต่การเรียนไม่เสีย ไม่เกเร ไม่ทำให้พ่อแม่ที่รักเสียใจ

3.การเรียนก็แย่  ที่บ้านก็แย่ แต่มีทักษะดีในด้านอื่นๆ Self-Esteem ก็เกิด  ก็สามารถที่จะพาเค้าไปสู่อนาคตได้ เช่นกัน อาจจะเกเร หลงทาง ในระหว่างทางอาจจะทุลัก ทุเลบ้าง  แต่ก็มีอนาคตที่ดีได้ 

เป็นต้น....

สำคัญนะครับเรื่องนี้ การที่เด็กคนนึงจะมีอะไรสักอย่างที่เค้าสามารถทำได้ดี โดดเด่น รู้สึกดีกับตัวเอง ที่สามารถยึดไว้ได้ ..... ไม่ใช่เด็กทุกคนจะต้องเหมือนกัน หาให้เจออะไรก็ได้ที่ลูกเรามีของ แล้วส่งเสริมให้ถูก ให้ลูกเราปล่อยของให้ได้ .....  

อาจจะไม่ใช่การเรียน ถ้าลูกเราไม่ใช่สายเรียน
อาจจะไม่ใช่กีฬา ถ้าลูกเราไม่ใช่สายกีฬา
อาจจะไม่ใข่ดนตรี ถ้าลูกเราไม่ใช่สายดนตรี
และอาจจะไม่ใช่ศิลปะ ถ้าลูกเราไม่ใช่สายศิลปะ 

อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราไม่เคยเห็น ที่ไม่เหมือนใคร  เพราะยุคนี้ ตั้งแต่มี Internet ลูกมีทางเลือก มีโอกาส มีทักษะใหม่ๆเป็น หมื่น เป็นแสน โอกาส ที่จะหาตัวเอง ถ้าพ่อแม่เปิดโอกาสและเข้าใจ คนเก่งไม่ใช่มีแค่เฉพาะคนที่เรียนดีเท่านั้นอีกต่อไป👍

ถ้าลูกไม่มีอะไรเลย อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็สู้เค้าไม่ได้ พอจะทำอะไรก็มีแต่คนขัด คนห้าม ส่งเสริม สนับสนุนในสิ่งที่มันไม่ใช่ ยังงัยก็ไม่มีทางรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาได้ เค้าก็จะรู้สึกว่าเค้าไม่มีตัวตนในสังคม และมีชีวิตอยู่ไปแบบไร้เป้าหมาย 😥

วันนี้ลูกเรามีหรือยังครับ สิ่งที่ทำให้เค้ารู้สึกมีคุณค่า และมีตัวตนขึ้นมา ที่เรียกว่า Self-Esteem 🙂

#ดีต่อลูก

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

อยากสร้างลูกให้เป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้ ลุกได้เร็ว

ถ้าเราอยากสร้างลูกให้เป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้ ลุกได้เร็ว แล้วกลับมายืนได้ดีกว่าเดิม เราต้องสร้างให้ลูกมี Set ความเชื่อแบบ 5 ข้อนี้ครับ 🙂

1.สร้างลูกให้เชื่อว่าผู้ใหญ่สามารถเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือที่ดีได้  ไม่ต้องกลัวผู้ใหญ่จะลงโทษ หรือจับผิด  ซึ่งความไว้วางใจนี้เกิดขึ้นจากการยอมรับซึ่งกันและกัน บวกกับเวลาที่มีให้กัน   มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันทีทันใดเพียงชั่วข้ามคืน

2.สร้างลูกให้เชื่อว่าเราสามารถควบคุมพฤติกรรม การกระทำ การตอบสนองของตัวเองได้ เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิต  และ ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ แทนที่จะจมอยู่กับปัญหา ทำได้ง่ายๆ โดยเมื่อลูกเจอกับปัญหา...เราไม่ต้องรีบ...เข้าไปบอกลูกว่าให้แก้แบบนี้นะ ทำแบบนั้นนะ  แต่ให้เขาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยเราเพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น เพื่อช่วยให้ลูกๆรู้สึกว่าเขาสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเองได้

3.สร้างลูกให้เชื่อว่าเรายังคงเข้มแข็ง สู้ต่อได้แม้เรากำลังเผชิญกับปัญหา มันไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่เด็กๆรู้ว่าเค้าสามารถทำได้ ผ่านได้ แต่เด็กๆต้องการผู้ใหญ่ที่เชื่อและให้การสนับสนุนว่าลูกทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพ่อแม่ผู้ปกครองและครู

4.สร้างลูกให้เชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีกว่าเดิมได้ เริ่มต้นง่ายๆ แทนที่จะสั่งให้ลูกทำอะไร ก็ให้พูดว่า พ่อ/แม่ต้องการให้ลูกช่วยหน่อย  พาลูกไปทำกิจกรรมที่ช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า คนที่ต้องการความช่วยเหลือ 

5.สร้างลูกให้เชื่อว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องที่จะต้องเจอและยอมรับได้  มองความผิดพลาดเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้ ที่จะก้าวไปข้างหน้า  เช่น เด็กที่สอบตก ได้คะแนนไม่ดีก็จะพยายามหาทาง หาความช่วยเหลือที่จะเรียนได้ดีขึ้น  เด็กที่เป็นนักกีฬาก็จะฝึกซ้อมมากขึ้น พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าเดิม  ไม่ใช่เมื่อผิดพลาด ล้มเหลวแล้วเชื่อว่าตัวเองเกิดมาไม่เก่ง ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงได้  ตัวเองได้เท่านี้ ทำไป  พยายามไปก็เท่านั้น😭    

วิธีที่จะให้ลูกมีความเชื่อแบบนี้  คือ ช่วยให้ลูกไม่กลัวที่จะทำผิด ทำพลาด มีพื้นที่ที่จะล้มได้  พ่อแม่มีส่วนสำคัญมากๆที่จะช่วยลูกในเรื่องนี้ คำตอบอยู่ในคำถาม 2 ข้อนี้

 " เมื่อพ่อแม่ทำผิดพลาด หรือเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง พ่อแม่ทำอย่างไร?" 

 "เมื่อลูกทำผิดพลาด  พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ตอบสนอง ปฎิบัติกับลูกอย่างไร?"  

คำถามที่พ่อแม่ต้องคิดเยอะๆๆครับ ⁉️

ช่วยกันครับ...เพื่อลูกเราจะเป็นคนที่ล้มได้ ลุกได้ และลุกขึ้นยืนได้ดีกว่าเดิมนะครับ😊

#ดีต่อลูก

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

การศึกษาที่ดี คือ การสร้าง “คน” สิ่งที่ต้องการมากขณะนี้คือ

การศึกษาที่ดี คือ การสร้าง “คน” สิ่งที่ต้องการมากขณะนี้คือ
.
การสร้างทักษะแบบมนุษย์ที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การมีความรู้สึกนึกคิด เข้าอกเข้าใจ ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ จึงเป็นทักษะจำเป็นอย่างมากที่ยุคอัจฉริยะต้องการ
.
และยุคอัจฉริยะนี้ ก็ไม่ใช่การเชิดชูแค่ใครคนใดคนหนึ่งว่าเป็น “อัจฉริยะ” อีกต่อไป
แต่คือยุคแห่งการประสานความเข้าใจ การทำงานร่วมกัน ทั้งมนุษย์กับมนุษย์ หรือมนุษย์กับหุ่นยนต์ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อม
ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น แม่นยำ
.
เพราะฉะนั้น จึงต้องเลิกตั้งมาตรฐานเดียวเพื่อกำหนดความสำเร็จของเด็กทุกคน
.
เพราะยุคนี้ต้องการรูปแบบการเรียนรู้ที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เพื่อพัฒนาจุดแข็งของแต่ละคน และสามารถมาทำงานร่วมกันได้

 #TEP2019 #TEP #การศึกษาไทย

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

9 ทักษะพื้นฐาน EF (Executive Functions)

9 ทักษะพื้นฐาน EF (Executive Functions)
โลกในวันข้างหน้าเก่งอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด เด็กที่จะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้ต้องเป็นผู้ที่มี "EF" ดี คือ คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และมีความสุขเป็น
 


มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาพร้อมทักษะ EF แต่เราเกิดมาพร้อมศักยภาพที่จะพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ ผ่านการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การวิจัยจำนวนไม่น้อย ชี้ให้เห็นว่า EF เริ่มพัฒนาขึ้นในเวลาไม่นานหลังปฏิสนธิ โดยช่วงวัย 3-6 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะ EF ด้านต่างๆ ให้กับเด็ก เพราะเป็นช่วงที่สมองส่วนหน้าพัฒนามากที่สุด

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ EF = Executive Functions การทำงานของสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่เกี่ยวกับทักษะการคิดเพื่อให้ชีวิตสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยทักษะ 9 ด้าน ที่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญเพื่อความสำเร็จในชีวิตลูกกันค่ะ

1.ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory)
คือทักษะจำหรือเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และดึงมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณ์ที่พบเจอ เด็กที่มีเวิร์กกิ้ง เมมโมรีดี ไอคิวก็จะดีด้วย

2.ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control)
คือความสามารถในการควบคุมความต้องการของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจจะเหมือน "รถที่ขาดเบรก" อาจทำสิ่งใดโดยไม่คิด มีปฏิกิริยาในทางที่ก่อให้เกิดปัญหาได้

3.ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility)
คือความสามารถในการยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยึดตายตัว

4.ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus/Attention)
คือความสามารถในการใส่ใจจดจ่อ มุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่าง ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง

5.การควบคุมอารมณ์ (Emotion Control)
คือ ความสามารถในการควบคุมแสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กที่ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้ มักเป็นคนโกรธเกรี้ยว ฉุนเฉียว และอาจมีอาการซึมเศร้า

6.การประเมินตัวเอง (Self-Monitoring)
คือการสะท้อนการกระทำของตนเอง รู้จักตนเอง รวมถึงการประเมินการงานเพื่อหาข้อบกพร่อง

7.การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating)
คือ ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำตามที่คิด ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

8.การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing)
คือทักษะการทำงาน ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การมองเห็นภาพรวม ซึ่งเด็กที่ขาดทักษะนี้จะวางแผนไม่เป็น ทำให้งานมีปัญหา

9.การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence)
คือ ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้ว ก็มีความมุ่งมั่นอดทน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันให้สำเร็จ

เลี้ยงลูกเชิงบวกต้องมีวินัยเชิงบวกด้วย

#เลี้ยงลูกเชิงบวกต้องมีวินัยเชิงบวกด้วย

ทำวินัยเชิงบวกเก่งก็ไม่รอดถ้าไม่มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก

เลี้ยงลูกเชิงบวกของแท้คือวินัยเชิงบวก + ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก 

หมอพูดถึงเรื่องนี้ ในงานสัมมนาฉบับย่อ “วินัยเชิงบวก เลี้ยงลูกสู่ความสำเร็จ” งาน open house บุรีรัมย์อินเตอร์สคูล และเบรนสคูลบุรีรัมย์ 😍 😍
.
.

ขอสรุปให้พ่อแม่ทุกๆท่านได้ฟังด้วยนะคะ^^

1.วินัยเชิงบวก คืองานปลูกฝังทักษะสมอง EF ให้ลูกเป็นสำคัญ.. 

-ไม่ใช่งานตรงหน้าที่ต้องรีบเสร็จอย่างเดียว
..........

2.วินัยเชิงบวก ต้องมีสติ ไม่ใช้อารมณ์บังคับลูกเชื่อฟัง 

-ถ้าใช้อารมณ์จะได้แต่งานตรงหน้า ไม่ได้งานทักษะสมอง EF ลูก ลูกจะกำกับตนเองไม่ได้
..........

3.พ่อแม่ต้องพยายามสื่อสารเชิงบวก
 
-ใช้ I message ให้มากที่สุด เช่น “แม่อยากให้ลูกเก็บของให้เสร็จก่อนไปเล่น” แทน การขู่ ที่เป็น You messageเช่น “ถ้าไม่เก็บ ไม่ต้องไป!”
..........

4.พ่อแม่ต้องมีเหตุผลและอธิบายจนลูกเข้าใจ 

-เด็กเล็กๆ พ่อแม่ต้องใช้ภาษาท่าทางประกอบ ย่อยคำอธิบายให้ง่ายตามวัย อย่าคิดว่าลูกไม่รู้เรื่องแล้วไม่อธิบาย เด็กรู้เรื่องมากกว่าที่เราคิด..
..........

5.วินัยเชิงบวก ควรมีกติกาหรือเงื่อนไข 

-เช่น กติกาคือ “ถ้ายังไม่เก็บ เราจะไม่ขยับไปไหน” และทำจริงตามที่พูด
..........

6.พ่อแม่ต้องฝึก “ทำจริง ตามที่พูด” โดยไม่ใช้อารมณ์

-ออกกติกาให้ดี เอาแบบที่เราทำได้จริงๆ ไม่เช่นนั้น คำพูดพ่อแม่จะไม่ศักดิ์สิทธิ
..........

7.เมื่อลูกมีอารมณ์ ทำงานกับอารมณ์
 
-เบี่ยงเบน, สะท้อนว่าเราเข้าใจลูก, เพิกเฉย, กอด ตามที่เขียนในโพสต์ก่อน

https://www.facebook.com/PositiveparentingDr.saowapa/photos/a.237161899741399/1050595015064746/?type=3&theater
..........

8.วินัยเชิงบวกอย่างเดียว เลี้ยงลูกไม่รอด พ่อแม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกด้วย 

-พ่อแม่ที่เข้าบ้านแล้วถามหาความรับผิดชอบลูกอย่างเดียว ไม่มีเวลาคุณภาพ ส่วนใหญ่ลูกต่อต้าน ยิ่งสอน ยิ่งดื้อ
 ..........

9.การเลี้ยงลูกเชิงบวกของแท้ต้องประกอบด้วย “วินัยบวกและปฏิสัมพันธ์เชิงบวก”

-กติกาของการเลี้ยงลูกเชิงบวกจะต้องทำสองอย่าง..ถ้าพ่อแม่อยากทำสำเร็จ ต้องเล่นตามกติกา 
..........

10.ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก คือ เวลาคุณภาพที่พ่อแม่จะได้รู้จักลูก ลูกรู้จักพ่อแม่ พ่อแม่เอ่ยปากชื่นชมและแสดงความเข้าใจลูกได้มากมาย 

-มักเป็นช่วงเวลาที่จดจ่อกิจกรรมด้วยกัน เช่น อ่านนิทานแล้วถามตอบกัน, ช่วยกันสร้างงานง่ายๆ, เล่นของเล่นด้วยกัน ฯ ไม่ค่อยเกิดขึ้นตอนช็อปปิ้งหรือไปเที่ยว เพราะไม่ได้จดจ่อกันมากนัก
..........

11.ภาษารัก เป็นอีกเรื่องที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจ

-ภาษารักที่ลูกต้องการมากที่สุก คือ คำชื่นชม คำพูดที่แสดงความใส่ใจและเข้าใจ โดยพ่อแม่ต้องฝึกพูดออกมา ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะชมในใจ หรือเข้าใจลูกอยู่ข้างใน
..........

12.ภาษารักอีกรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน ได้แก่ การซื้อของให้ การพาไปเที่ยว การตามใจ การช่วยทำให้ การบริการลูก ลูกชอบแน่ๆภาษารักแบบนี้ พ่อแม่ให้ได้บ้าง อย่ามากไป... ขอให้เน้นภาษารักแบบชื่นชม ใส่ใจและเข้าใจจะดีที่สุด 

-และอย่าเป็นภาษารักเดียวที่ให้ลูกนะคะ...ถ้าวันหนึ่งเราตามใจลูกไม่ได้ ลูกจะโวยวายหนักมากบอกว่าพ่อแม่ไม่รัก 
..........

หวังว่าทุกๆท่านจะได้ประโยชน์ 🥰

ปล. ดีใจที่ได้เจอพ่อแม่ที่บุรีรัมย์นะคะ 😍

หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

"สร้าง" เด็กๆที่เข้มแข็งง่ายกว่า "ซ่อม"ผู้ใหญ่ที่ผุพัง (Frederick Douglass)

"จงฝึก"เด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะ"ไม่พราก"จากทางนั้น ( Bible)

"สร้าง" เด็กๆที่เข้มแข็งง่ายกว่า "ซ่อม"ผู้ใหญ่ที่ผุพัง (Frederick Douglass)

"ไม้อ่อน" ดัดง่าย  "ไม้แก่" ดัดยาก (สุภาษิตไทย)

จิตวิญญาณของเด็กวัย 3ขวบจะอยู่ตราบจน 100 ปี (สุภาษิตญี่ปุ่น)

พ่อแม่รังแกฉัน

เลี้ยงอย่างไร ได้อย่างนั้น....

ยังคงเป็นจริงเสมอในทุกยุคทุกสมัย...

ลงทุนเลี้ยงเค้าให้ดีตั้งแต่เล็กๆ เพราะผลที่ได้สุดท้ายจะมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุนครับ 😊
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ
#ดีต่อลูก