วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

💢การปฏิรูปการศึกษา ในยุค Digital Disruption💢

💢การปฏิรูปการศึกษา ในยุค Digital Disruption💢
.
สงครามโลกครั้งที่ 3 เปิดฉากขึ้นแล้ว …
ทิ้งปืน ระเบิด หรือขีปนาวุธ ไว้ข้างหลัง
แต่โลกกำลังห้ำหั่นกันด้วยการค้าและเทคโนโลยี
.
🇺🇸🇨🇳สองยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
เปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด ข่าวการจับตัวผู้บริหารระดับสูงของหัวเหว่ยที่แคนาดา กลายเป็นที่จับตาไปทั่วโลก ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ลงมาถึงระดับผู้บริโภคอย่างเราๆ
ต่อไปเนื้อหาที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของหัวเหว่ยจะถูกบล็อก ไม่ให้สามารถเล่นในอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล
มีการวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอเมริกาพยายามเร่งสกัดกั้นจีนทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาด 5G เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างสิ้นเชิง
.
🇨🇳แต่จีนก็ยังไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา หัวเหว่ยเพิ่งจะออกมาประกาศความสำเร็จการทดสอบเทคโนโลยี 5G ใน 50 ประเทศทั่วโลก และยังนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ที่ประกาศว่าจะออกวางขายตามท้องตลาดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
.
นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ตรงกันว่าเทคโนโลยี 5G จะขยายตัวอย่างจริงจังในปี 2565 นับถอยหลังอีก 3 ปี หากใครไม่อยากตกขบวน ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันนี้
.
📌Digital Disruption คือสิ่งที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ การแทรกแซงของเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรต่างๆ
อย่าง ธนาคารพาณิชย์ที่ปิดตัวไปกว่า 40 สาขา ในครึ่งปีแรกของปี 2561 เพราะการเข้ามาของ Internet banking และยังมีแนวโน้มปิดตัวต่อเนื่อง ต่อไปธนาคารอาจอนุมัติเงินกู้ได้ภายในไม่ถึง 1 นาที โดยไม่ต้องใช้คนแม้แต่คนเดียว
.
📌สาขาวิชาที่ถูก Digital Disruption มากที่สุด คือ ธุรกิจอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายไร้สาย หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาคือสาขาวิศวกรรม ความรู้มีอายุสั้น สิ่งที่เรียนไปแล้วกลับนำมาใช้ไม่ได้ เพราะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวินาที
คำถามสำคัญที่ท้าทายครูในยุค 4.0 มากที่สุด เห็นจะเป็น … แล้วเราจะเรียนไปทำไม ?
.
The more I study the more I know.
The more I know the more I forget.
The more I forget the less I know.
So why I study ?
“ฉันเรียนมาก ก็ยิ่งรู้มาก …ฉันรู้มาก ก็ยิ่งลืมมาก …สุดท้ายฉันกลายเป็นคนไม่รู้อะไรเลย แล้วฉันจะเรียนไปทำไม ?”
นี่คือคำถามที่สั่นสะเทือนวงการการศึกษาในยุค Digital Disruption …เมื่อทุกคำถาม ค้นหาคำตอบได้ใน Googles การป้อนความรู้แบบยัดเยียด และตำราในห้องเรียนจึงไร้ความหมาย
.
ผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่สนใจใบปริญญา แต่ดูแค่ Performance Characteristic หรือคน ๆ นั้น ทำอะไรเป็น เก่งพอ และมีทักษะเหมาะสมกับวิชาชีพหรือไม่ เปรียบได้กับนักฟุตบอลอาชีพที่ถูกสโมสรชั้นนำซื้อตัวในราคาสูงลิบลิ่ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ แค่มีฝีเท้าที่หาตัวจับยากเท่านั้น
.
นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนออกจากระบบการศึกษากันมากขึ้น โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา เพราะหลายคนจบออกมาก็ไม่มีงานทำ และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ สถานการณ์นี้ทำให้เราต้องตระหนัก ไม่นิ่งนอนใจ และเห็นความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง
.
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา กล่าวถึงแนวทางหลักในการปฏิรูปการศึกษา ไว้ดังนี้
การออกแบบการศึกษา โดยให้ผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ทั้ง ๆ ที่เรามีการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สำเร็จเท่าที่ควร เพราะหลุมดำ 3 ข้อ นั่นคือ
🔹1.ครูสอนความรู้เดิม ๆ
🔹2.ครูมีวิธีสอนแบบเดิม ๆ
🔹3.ครูสอนโดยเลือกจากความสนใจของตัวครูเอง
ครูต้องตั้งหลักใหม่ เพราะความสนใจของเด็กยุคนี้ ไม่เหมือนความสนใจของเราแล้ว การสอนแบบ “ร้อยเนื้อทำนองเดียว” ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ยังคงสอนเหมือนเดิม โดยไม่ได้สนใจว่าเด็กคิดอย่างไร ใช้ไม่ได้ผล ครูต้องรู้จักเปลี่ยนจังหวะตามเนื้อเพลง ต้องค้นหาว่าสอนอย่างไรเด็กถึงจะสนใจฟัง และสามารถนำไปต่อยอดจนกลายเป็นการเรียนรู้โดยไม่สิ้นสุด
.
🔸การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร🔸
ต้องยอมรับว่าหลักสูตรที่เรามีอยู่ในขณะนี้ล้าสมัยไปแล้ว หลักสูตรแบบใหม่ ต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดยครู ผู้บริหาร และสถานศึกษา ต้องสามารถแก้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอคำสั่งจากส่วนกลางเท่านั้น เพราะไม่มีใครเข้าใจโรงเรียน ครู หรือเด็ก ไปมากกว่ากว่าคนในพื้นที่
🔸การทำงานเป็นทีม🔸
ในยุคนี้เราไม่ต้องการ Superhero หรือผู้นำที่เก่งเพียงคนเดียว แต่เราต้องการ Collective Leadership หรือผู้นำที่พร้อมรับฟังความคิดเห็น ผู้บริหารต้องพร้อมทำงานร่วมกับครู ครูก็ต้องมีกระบวนการเรียนรู้ บูรณาการสอนร่วมกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างสอนเฉพาะรายวิชาของตัวเองเหมือนที่ผ่านมา ต้องเสริมการทำงานเป็นทีม เพื่อรวมเป็นพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
.
💢กลุ่มบริษัทข้ามชาติ ดีลอยท์ โกลบอล ร่วมกับ Global Business Coalition for Education ศึกษาเรื่อง Digital Disruption
คาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในตลาดแรงงานอีก 11 ปีข้างหน้า พบว่าในปี 2573 มีโอกาสที่แรงงานหนุ่มสาวกว่า 1.8 ล้านคนทั่วโลก จะกลายเป็นคนตกยุค ล้าสมัยและเสี่ยงตกงาน เพราะถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ และขาดทักษะหรือไม่มีคุณสมบัติที่ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน
💢ถ้ายังไม่ปรับตั้งแต่วันนี้ ลูกหลานเราก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น …ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยน เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับโลกอนาคต…🌎🌏

              ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ



              ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ 




             ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ



             ในภาพอาจจะมี ข้อความ






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น