วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

สอนลูก เด็กยุคใหม่ กับ Fake News

สอนลูก เด็กยุคใหม่ กับ Fake News 

เด็กยุคนี้มือถือมีกันแทบทุกคน  เป็นสมาชิก Social media ในทุกค่าย  รับข้อมูลข่าวสารก็ทุกวัน ดังนั้น รับอะไรมา อย่าเพิ่งเชื่อ หรือส่งต่อทันที คิดให้ดีๆก่อนที่จะ Share ออกไป 🆘️🆚️🆙️🆘️

ทำความเข้าใจ Fake News มี 2 แบบคือ 

1.ข่าวที่ปล่อยออกมาจากความไม่รู้ของคนที่ปล่อย  ซึ่งมันไม่ตรงกับความเป็นจริง คิดไปเอง มโนไปเอง ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง 

2.ข่าวที่ปล่อยออกมาด้วยความตั้งใจ ที่จะมีการบิดเบือนข่าว หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง  เพื่อดิสเครดิต หรือไม่ก็เพื่อความสนุกสนาน 

เยอะมากในสังคมไทย ไม่ว่าจะปล่อยด้วยสาเหตุใดก็ตาม มันมีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับสังคม.....

ถ้า Fake News มีการแพร่ขยายออกไปเยอะ ไม่ได้มีการพิสูจน์ และเกิดความเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง  มันอธิบายถึงคุณภาพการศึกษาในสังคมนั้นๆ.... 🤭

สอนลูกๆนะครับ  ให้คิดดีๆก่อน share  
บริโภคข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ แบบที่เด็กยุคใหม่ควรจะเป็น 😊

#ดีต่อลูก

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

การรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าหรือ Self-Esteem สำคัญมากๆ

การรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าหรือ Self-Esteem สำคัญมากๆ   " ที่จะต้องมีอะไรสักอย่าง ที่เด็กคนนึงจะสามารถยึดไว้ได้ "  เพื่อลากเค้าไปสู่อนาคต....
เห็นมาหลาย Case มาก เช่น

1.ที่บ้านไม่ดี ไม่ครบ ขาด   แต่เรียนเก่ง ที่โรงเรียนให้ความชื่นชม  Self-Esteem ก็เกิด  รู้สึกตัวเองมีคุณค่าจากการเรียน  อาจจะเกเร เหลวไหล แต่การเรียนไม่ตก จะไปทำอะไรก็ตามรู้ว่าต้องกลับมาเรียน 

2.การเรียนแย่ ที่โรงเรียนไม่มีตัวตน แต่ที่บ้านให้ความรัก ให้ความสำคัญ ปลอดภัย มีความสุข   
Self - Esteem ก็เกิด ที่บ้านเห็นคุณค่า  อาจจะเรียนไม่ดี ไม่ชอบเรียน แต่การเรียนไม่เสีย ไม่เกเร ไม่ทำให้พ่อแม่ที่รักเสียใจ

3.การเรียนก็แย่  ที่บ้านก็แย่ แต่มีทักษะดีในด้านอื่นๆ Self-Esteem ก็เกิด  ก็สามารถที่จะพาเค้าไปสู่อนาคตได้ เช่นกัน อาจจะเกเร หลงทาง ในระหว่างทางอาจจะทุลัก ทุเลบ้าง  แต่ก็มีอนาคตที่ดีได้ 

เป็นต้น....

สำคัญนะครับเรื่องนี้ การที่เด็กคนนึงจะมีอะไรสักอย่างที่เค้าสามารถทำได้ดี โดดเด่น รู้สึกดีกับตัวเอง ที่สามารถยึดไว้ได้ ..... ไม่ใช่เด็กทุกคนจะต้องเหมือนกัน หาให้เจออะไรก็ได้ที่ลูกเรามีของ แล้วส่งเสริมให้ถูก ให้ลูกเราปล่อยของให้ได้ .....  

อาจจะไม่ใช่การเรียน ถ้าลูกเราไม่ใช่สายเรียน
อาจจะไม่ใช่กีฬา ถ้าลูกเราไม่ใช่สายกีฬา
อาจจะไม่ใข่ดนตรี ถ้าลูกเราไม่ใช่สายดนตรี
และอาจจะไม่ใช่ศิลปะ ถ้าลูกเราไม่ใช่สายศิลปะ 

อาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราไม่เคยเห็น ที่ไม่เหมือนใคร  เพราะยุคนี้ ตั้งแต่มี Internet ลูกมีทางเลือก มีโอกาส มีทักษะใหม่ๆเป็น หมื่น เป็นแสน โอกาส ที่จะหาตัวเอง ถ้าพ่อแม่เปิดโอกาสและเข้าใจ คนเก่งไม่ใช่มีแค่เฉพาะคนที่เรียนดีเท่านั้นอีกต่อไป👍

ถ้าลูกไม่มีอะไรเลย อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็สู้เค้าไม่ได้ พอจะทำอะไรก็มีแต่คนขัด คนห้าม ส่งเสริม สนับสนุนในสิ่งที่มันไม่ใช่ ยังงัยก็ไม่มีทางรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาได้ เค้าก็จะรู้สึกว่าเค้าไม่มีตัวตนในสังคม และมีชีวิตอยู่ไปแบบไร้เป้าหมาย 😥

วันนี้ลูกเรามีหรือยังครับ สิ่งที่ทำให้เค้ารู้สึกมีคุณค่า และมีตัวตนขึ้นมา ที่เรียกว่า Self-Esteem 🙂

#ดีต่อลูก

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

อยากสร้างลูกให้เป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้ ลุกได้เร็ว

ถ้าเราอยากสร้างลูกให้เป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้ ลุกได้เร็ว แล้วกลับมายืนได้ดีกว่าเดิม เราต้องสร้างให้ลูกมี Set ความเชื่อแบบ 5 ข้อนี้ครับ 🙂

1.สร้างลูกให้เชื่อว่าผู้ใหญ่สามารถเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือที่ดีได้  ไม่ต้องกลัวผู้ใหญ่จะลงโทษ หรือจับผิด  ซึ่งความไว้วางใจนี้เกิดขึ้นจากการยอมรับซึ่งกันและกัน บวกกับเวลาที่มีให้กัน   มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันทีทันใดเพียงชั่วข้ามคืน

2.สร้างลูกให้เชื่อว่าเราสามารถควบคุมพฤติกรรม การกระทำ การตอบสนองของตัวเองได้ เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิต  และ ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ แทนที่จะจมอยู่กับปัญหา ทำได้ง่ายๆ โดยเมื่อลูกเจอกับปัญหา...เราไม่ต้องรีบ...เข้าไปบอกลูกว่าให้แก้แบบนี้นะ ทำแบบนั้นนะ  แต่ให้เขาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยเราเพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น เพื่อช่วยให้ลูกๆรู้สึกว่าเขาสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเองได้

3.สร้างลูกให้เชื่อว่าเรายังคงเข้มแข็ง สู้ต่อได้แม้เรากำลังเผชิญกับปัญหา มันไม่ได้เกิดขึ้นจากแค่เด็กๆรู้ว่าเค้าสามารถทำได้ ผ่านได้ แต่เด็กๆต้องการผู้ใหญ่ที่เชื่อและให้การสนับสนุนว่าลูกทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพ่อแม่ผู้ปกครองและครู

4.สร้างลูกให้เชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีกว่าเดิมได้ เริ่มต้นง่ายๆ แทนที่จะสั่งให้ลูกทำอะไร ก็ให้พูดว่า พ่อ/แม่ต้องการให้ลูกช่วยหน่อย  พาลูกไปทำกิจกรรมที่ช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า คนที่ต้องการความช่วยเหลือ 

5.สร้างลูกให้เชื่อว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องที่จะต้องเจอและยอมรับได้  มองความผิดพลาดเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้ ที่จะก้าวไปข้างหน้า  เช่น เด็กที่สอบตก ได้คะแนนไม่ดีก็จะพยายามหาทาง หาความช่วยเหลือที่จะเรียนได้ดีขึ้น  เด็กที่เป็นนักกีฬาก็จะฝึกซ้อมมากขึ้น พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าเดิม  ไม่ใช่เมื่อผิดพลาด ล้มเหลวแล้วเชื่อว่าตัวเองเกิดมาไม่เก่ง ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงได้  ตัวเองได้เท่านี้ ทำไป  พยายามไปก็เท่านั้น😭    

วิธีที่จะให้ลูกมีความเชื่อแบบนี้  คือ ช่วยให้ลูกไม่กลัวที่จะทำผิด ทำพลาด มีพื้นที่ที่จะล้มได้  พ่อแม่มีส่วนสำคัญมากๆที่จะช่วยลูกในเรื่องนี้ คำตอบอยู่ในคำถาม 2 ข้อนี้

 " เมื่อพ่อแม่ทำผิดพลาด หรือเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง พ่อแม่ทำอย่างไร?" 

 "เมื่อลูกทำผิดพลาด  พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ตอบสนอง ปฎิบัติกับลูกอย่างไร?"  

คำถามที่พ่อแม่ต้องคิดเยอะๆๆครับ ⁉️

ช่วยกันครับ...เพื่อลูกเราจะเป็นคนที่ล้มได้ ลุกได้ และลุกขึ้นยืนได้ดีกว่าเดิมนะครับ😊

#ดีต่อลูก

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

การศึกษาที่ดี คือ การสร้าง “คน” สิ่งที่ต้องการมากขณะนี้คือ

การศึกษาที่ดี คือ การสร้าง “คน” สิ่งที่ต้องการมากขณะนี้คือ
.
การสร้างทักษะแบบมนุษย์ที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การมีความรู้สึกนึกคิด เข้าอกเข้าใจ ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ จึงเป็นทักษะจำเป็นอย่างมากที่ยุคอัจฉริยะต้องการ
.
และยุคอัจฉริยะนี้ ก็ไม่ใช่การเชิดชูแค่ใครคนใดคนหนึ่งว่าเป็น “อัจฉริยะ” อีกต่อไป
แต่คือยุคแห่งการประสานความเข้าใจ การทำงานร่วมกัน ทั้งมนุษย์กับมนุษย์ หรือมนุษย์กับหุ่นยนต์ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อม
ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น แม่นยำ
.
เพราะฉะนั้น จึงต้องเลิกตั้งมาตรฐานเดียวเพื่อกำหนดความสำเร็จของเด็กทุกคน
.
เพราะยุคนี้ต้องการรูปแบบการเรียนรู้ที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า เพื่อพัฒนาจุดแข็งของแต่ละคน และสามารถมาทำงานร่วมกันได้

 #TEP2019 #TEP #การศึกษาไทย

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

9 ทักษะพื้นฐาน EF (Executive Functions)

9 ทักษะพื้นฐาน EF (Executive Functions)
โลกในวันข้างหน้าเก่งอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบของความอยู่รอด เด็กที่จะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จได้ต้องเป็นผู้ที่มี "EF" ดี คือ คิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และมีความสุขเป็น
 


มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาพร้อมทักษะ EF แต่เราเกิดมาพร้อมศักยภาพที่จะพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ ผ่านการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การวิจัยจำนวนไม่น้อย ชี้ให้เห็นว่า EF เริ่มพัฒนาขึ้นในเวลาไม่นานหลังปฏิสนธิ โดยช่วงวัย 3-6 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะ EF ด้านต่างๆ ให้กับเด็ก เพราะเป็นช่วงที่สมองส่วนหน้าพัฒนามากที่สุด

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ EF = Executive Functions การทำงานของสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่เกี่ยวกับทักษะการคิดเพื่อให้ชีวิตสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยทักษะ 9 ด้าน ที่เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญเพื่อความสำเร็จในชีวิตลูกกันค่ะ

1.ทักษะความจำที่นำมาใช้งาน (Working Memory)
คือทักษะจำหรือเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และดึงมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณ์ที่พบเจอ เด็กที่มีเวิร์กกิ้ง เมมโมรีดี ไอคิวก็จะดีด้วย

2.ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control)
คือความสามารถในการควบคุมความต้องการของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจจะเหมือน "รถที่ขาดเบรก" อาจทำสิ่งใดโดยไม่คิด มีปฏิกิริยาในทางที่ก่อให้เกิดปัญหาได้

3.ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (Shift Cognitive Flexibility)
คือความสามารถในการยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยึดตายตัว

4.ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (Focus/Attention)
คือความสามารถในการใส่ใจจดจ่อ มุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่าง ต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง

5.การควบคุมอารมณ์ (Emotion Control)
คือ ความสามารถในการควบคุมแสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เด็กที่ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้ มักเป็นคนโกรธเกรี้ยว ฉุนเฉียว และอาจมีอาการซึมเศร้า

6.การประเมินตัวเอง (Self-Monitoring)
คือการสะท้อนการกระทำของตนเอง รู้จักตนเอง รวมถึงการประเมินการงานเพื่อหาข้อบกพร่อง

7.การริเริ่มและลงมือทำ (Initiating)
คือ ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำตามที่คิด ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

8.การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการ (Planning and Organizing)
คือทักษะการทำงาน ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การมองเห็นภาพรวม ซึ่งเด็กที่ขาดทักษะนี้จะวางแผนไม่เป็น ทำให้งานมีปัญหา

9.การมุ่งเป้าหมาย (Goal-Directed Persistence)
คือ ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้ว ก็มีความมุ่งมั่นอดทน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันให้สำเร็จ

เลี้ยงลูกเชิงบวกต้องมีวินัยเชิงบวกด้วย

#เลี้ยงลูกเชิงบวกต้องมีวินัยเชิงบวกด้วย

ทำวินัยเชิงบวกเก่งก็ไม่รอดถ้าไม่มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก

เลี้ยงลูกเชิงบวกของแท้คือวินัยเชิงบวก + ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก 

หมอพูดถึงเรื่องนี้ ในงานสัมมนาฉบับย่อ “วินัยเชิงบวก เลี้ยงลูกสู่ความสำเร็จ” งาน open house บุรีรัมย์อินเตอร์สคูล และเบรนสคูลบุรีรัมย์ 😍 😍
.
.

ขอสรุปให้พ่อแม่ทุกๆท่านได้ฟังด้วยนะคะ^^

1.วินัยเชิงบวก คืองานปลูกฝังทักษะสมอง EF ให้ลูกเป็นสำคัญ.. 

-ไม่ใช่งานตรงหน้าที่ต้องรีบเสร็จอย่างเดียว
..........

2.วินัยเชิงบวก ต้องมีสติ ไม่ใช้อารมณ์บังคับลูกเชื่อฟัง 

-ถ้าใช้อารมณ์จะได้แต่งานตรงหน้า ไม่ได้งานทักษะสมอง EF ลูก ลูกจะกำกับตนเองไม่ได้
..........

3.พ่อแม่ต้องพยายามสื่อสารเชิงบวก
 
-ใช้ I message ให้มากที่สุด เช่น “แม่อยากให้ลูกเก็บของให้เสร็จก่อนไปเล่น” แทน การขู่ ที่เป็น You messageเช่น “ถ้าไม่เก็บ ไม่ต้องไป!”
..........

4.พ่อแม่ต้องมีเหตุผลและอธิบายจนลูกเข้าใจ 

-เด็กเล็กๆ พ่อแม่ต้องใช้ภาษาท่าทางประกอบ ย่อยคำอธิบายให้ง่ายตามวัย อย่าคิดว่าลูกไม่รู้เรื่องแล้วไม่อธิบาย เด็กรู้เรื่องมากกว่าที่เราคิด..
..........

5.วินัยเชิงบวก ควรมีกติกาหรือเงื่อนไข 

-เช่น กติกาคือ “ถ้ายังไม่เก็บ เราจะไม่ขยับไปไหน” และทำจริงตามที่พูด
..........

6.พ่อแม่ต้องฝึก “ทำจริง ตามที่พูด” โดยไม่ใช้อารมณ์

-ออกกติกาให้ดี เอาแบบที่เราทำได้จริงๆ ไม่เช่นนั้น คำพูดพ่อแม่จะไม่ศักดิ์สิทธิ
..........

7.เมื่อลูกมีอารมณ์ ทำงานกับอารมณ์
 
-เบี่ยงเบน, สะท้อนว่าเราเข้าใจลูก, เพิกเฉย, กอด ตามที่เขียนในโพสต์ก่อน

https://www.facebook.com/PositiveparentingDr.saowapa/photos/a.237161899741399/1050595015064746/?type=3&theater
..........

8.วินัยเชิงบวกอย่างเดียว เลี้ยงลูกไม่รอด พ่อแม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกด้วย 

-พ่อแม่ที่เข้าบ้านแล้วถามหาความรับผิดชอบลูกอย่างเดียว ไม่มีเวลาคุณภาพ ส่วนใหญ่ลูกต่อต้าน ยิ่งสอน ยิ่งดื้อ
 ..........

9.การเลี้ยงลูกเชิงบวกของแท้ต้องประกอบด้วย “วินัยบวกและปฏิสัมพันธ์เชิงบวก”

-กติกาของการเลี้ยงลูกเชิงบวกจะต้องทำสองอย่าง..ถ้าพ่อแม่อยากทำสำเร็จ ต้องเล่นตามกติกา 
..........

10.ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก คือ เวลาคุณภาพที่พ่อแม่จะได้รู้จักลูก ลูกรู้จักพ่อแม่ พ่อแม่เอ่ยปากชื่นชมและแสดงความเข้าใจลูกได้มากมาย 

-มักเป็นช่วงเวลาที่จดจ่อกิจกรรมด้วยกัน เช่น อ่านนิทานแล้วถามตอบกัน, ช่วยกันสร้างงานง่ายๆ, เล่นของเล่นด้วยกัน ฯ ไม่ค่อยเกิดขึ้นตอนช็อปปิ้งหรือไปเที่ยว เพราะไม่ได้จดจ่อกันมากนัก
..........

11.ภาษารัก เป็นอีกเรื่องที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจ

-ภาษารักที่ลูกต้องการมากที่สุก คือ คำชื่นชม คำพูดที่แสดงความใส่ใจและเข้าใจ โดยพ่อแม่ต้องฝึกพูดออกมา ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะชมในใจ หรือเข้าใจลูกอยู่ข้างใน
..........

12.ภาษารักอีกรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน ได้แก่ การซื้อของให้ การพาไปเที่ยว การตามใจ การช่วยทำให้ การบริการลูก ลูกชอบแน่ๆภาษารักแบบนี้ พ่อแม่ให้ได้บ้าง อย่ามากไป... ขอให้เน้นภาษารักแบบชื่นชม ใส่ใจและเข้าใจจะดีที่สุด 

-และอย่าเป็นภาษารักเดียวที่ให้ลูกนะคะ...ถ้าวันหนึ่งเราตามใจลูกไม่ได้ ลูกจะโวยวายหนักมากบอกว่าพ่อแม่ไม่รัก 
..........

หวังว่าทุกๆท่านจะได้ประโยชน์ 🥰

ปล. ดีใจที่ได้เจอพ่อแม่ที่บุรีรัมย์นะคะ 😍

หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

"สร้าง" เด็กๆที่เข้มแข็งง่ายกว่า "ซ่อม"ผู้ใหญ่ที่ผุพัง (Frederick Douglass)

"จงฝึก"เด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะ"ไม่พราก"จากทางนั้น ( Bible)

"สร้าง" เด็กๆที่เข้มแข็งง่ายกว่า "ซ่อม"ผู้ใหญ่ที่ผุพัง (Frederick Douglass)

"ไม้อ่อน" ดัดง่าย  "ไม้แก่" ดัดยาก (สุภาษิตไทย)

จิตวิญญาณของเด็กวัย 3ขวบจะอยู่ตราบจน 100 ปี (สุภาษิตญี่ปุ่น)

พ่อแม่รังแกฉัน

เลี้ยงอย่างไร ได้อย่างนั้น....

ยังคงเป็นจริงเสมอในทุกยุคทุกสมัย...

ลงทุนเลี้ยงเค้าให้ดีตั้งแต่เล็กๆ เพราะผลที่ได้สุดท้ายจะมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุนครับ 😊
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ
#ดีต่อลูก

เลี้ยงลูกวัยรุ่น

#เลี้ยงลูกวัยรุ่น
.
ลูกของคุณโตขึ้นทุกวันและพฤติกรรมก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย วันหนึ่งเมื่อเขาเป็นวัยรุ่นแล้ว พ่อแม่ควรปรับตัวในการเลี้ยงดูพวกเขาอย่างไร
มาดูคำแนะนำจากคุณก้อย - นางสาวแก้วตา สัตยาประเสริฐ นักจิตวิทยาคลินิค รพ.รามาธิบดีนฤบดินทร์กันครับ
.
#สิ่งที่ควรทำ
1. ยอมรับว่าลูกมีความคิดที่โตขึ้น เด็กวัยนี้เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ฉะนั้น หากความคิดของเขาไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร คุณก็ไม่ควรยัดเยียดความคิดตัวเองให้เขาและยอมรับความคิดของเขา
.
2. สื่อสารอย่างเข้าใจ การสื่อสารที่ไม่อธิบายเหตุผลใดๆ ประกอบ ไม่ใช่เรื่องดีกับวัยนี้ เช่น การบอกว่าแม่ต้องการอะไรแล้วบังคับให้เขาทำเป็นเรื่องไม่ดีแน่ แต่ควรเป็นการขอร้องและเปิดโอกาสให้เขาเลือกทำหรือไม่ทำได้
.
3. เป็นผู้ฟังที่ดี การพูดคุยกับลูก เมื่อลูกเป็นฝ่ายพูดพ่อแม่ต้องฟังให้จบก่อนทุกครั้งก่อนที่จะตอบโต้กลับไป ไม่ควรตัดสินว่าลูกคิดผิดทันที แต่ให้ใช้วิธีตอบกลับแบบตะล่อมถามว่า “ลูกคิดว่าผลมันจะเป็นอย่างไรหรอถ้าทำแบบนี้” เพื่อไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดเกินไปแม้คิดไม่ตรงกัน
.
4. หาข้อมูลสิ่งที่ลูกวัยรุ่นสนใจ โดยเฉพาะความสนใจของลูกของคุณเองจะได้มีเรื่องมาคุยกับลูกหรือวันไหนที่ลูกมีอะไรสงสัย คุณก็จะมีข้อมูลให้คำปรึกษาลูกได้ทันทีทันใด
.
.
#สิ่งที่ไม่ควรทำ
1. คิดว่าลูกยังเด็กอยู่เสมอ หลายครั้งพ่อแม่มองว่าลูกยังอายุน้อย ขาดประสบการณ์และไม่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ เหมือนผู้ใหญ่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะจะทำให้ลูกไม่มีการพัฒนา ควรให้โอกาสและคำแนะนำดีกว่า เช่น ถามลูกบ่อยๆ ว่า “หนูคิดว่าควรทำยังไงดี” หรือ “ลองทำแบบนี้ดีกว่าไหม” 
.
2. ใช้คำพูดไม่ถนอมน้ำใจลูก ในกรณีที่ลูกอาจทำไม่สำเร็จเท่าความคาดหวังของพ่อแม่ พ่อแม่ก็ไม่ควรพูดจาแรงๆ กับเขา เช่น “ทำไมไม่อ่านหนังสือ” “ทำไมไม่ทำงานบ้าน” “ทำไมไม่เชื่อฟังฉัน” “ฉันหวังดีนะถึงได้บอก” เพราะใครได้ยินก็คงไม่อยากทำตามเช่นกัน
.
3. ใช้ความเป็นพ่อแม่กดลูก ไม่ควรใช้อำนาจ บังคับลูกทำและเชื่อสิ่งที่ลูกไม่เชื่อเหมือนกัน ฉะนั้น ควรจะถามลูกว่างั้นลูกคิดว่าทำอย่างไรดี แล้วคิดว่าทำอย่างนี้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรดีกว่า
.
4.  ทำงานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทุ่มเทเวลาให้กับงานมากไปจนไม่มีเวลาให้ลูก ข้อนี้อันตรายตรงที่ลูกอาจหลงไปในทางที่ไม่ดีได้
.
อย่างไรก็ตาม คุณก้อยบอกว่าการยอมรับว่าลูกโตแล้วเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่วัยรุ่นต้องการ เพราะเขามองว่าตัวเองโตแล้ว มีความคิดที่ดีและคิดเองได้แล้ว ถึงไม่มั่นใจเต็มร้อยแต่เด็กวัยนี้มองว่าตัวเองกำลังจะไปถึงจุดนั้นอย่างแน่นอน
.
ฉะนั้น หากผู้ปกครองยังยึดติดกับความคิดที่ว่า “ลูกยังเด็กอยู่เสมอ” ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ เพราะขัดกับความเชื่อส่วนตัวของลูกและสุดท้ายทำให้ลูกพยายามถอยห่างออกไป
.
.
อ้างอิงข้อมูลจาก นางสาวแก้วตา สัตยาประเสริฐ นักจิตวิทยาคลินิค รพ.รามาธิบดีนฤบดินทร์
.
อ้างอิงภาพจาก http://bit.ly/30wWZvQ

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563

การคิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น และปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

ที่อิสาน ครูสอนเด็กเล่น วอลเลย์ กลายเป็นนักกีฬา มีรายได้
ครูสอนเด็ก เล่นโปงลาง ตั้งวงรับงานเสาร์อาทิตย์
เด็กเหล่านี้ มีพลังครับ
อนาคต เด็กขึ้นกับครูจริงๆ
หลายคน มาเรียนเพราะเราบังคับเขาให้มาเรียน แต่ การสอนของเรากลับทำให้เขารู้สึกแย่ และสิ้นหวัง
หลงทางกันมานาน
สอนให้เด็ก มีการคิดเป็น ทำเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น และปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 
ช่วยกันนะครับ

สอนลูกและสอนตัวเอง ครับ🙂

สอนลูกและสอนตัวเอง ครับ🙂

ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วมันเสียเปล่า แม้บางครั้งมันอาจจะดูแย่มากแค่ไหนก็ตามเพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้เรา

- เข้มแข็งเติบโตมากขึ้น ประสบการณ์สอน
- รู้จักตัวเองมากขึ้น
- รู้จักคนอื่นมากขึ้น
- รู้ว่าใครที่อยู่ข้างเรา ใครไว้ใจได้ ใครไว้ใจไม่ได้
- รักกัน ดูแลกันมากขึ้น ในครอบครัว
- ได้พักแป๊บนึง รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคืออะไร 
 เพื่อก้าวไปข้างหน้าต่อไป
- สุดท้ายฉันก็เก่งเหมือนกันนะ ที่ผ่านมันมาได้ 😀

#ดีต่อลูก

เลี้ยงมาอย่างไร ก็ได้ไปอย่างนั้น...

ในการเลี้ยงลูกจะต้องมีบางครั้งบางคราว ที่เราพ่อแม่ไม่สามารถยอมปล่อยลูก....ให้ทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ขัดใจบ้าง ไม่ได้บ้าง รอบ้าง ห้ามบ้าง

เพื่อลูกจะได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่สำคัญมากๆ บทเรียนที่ต้องเรียนรู้กันมาตั้งแต่เล็กๆ คือ

"เราไม่สามารถได้ทุกอย่างและทำทุกอย่างที่เราต้องการ...ตลอดเวลา"  

แล้วลูกเราจะสามารถอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจากความอยากได้ อยากมี อยากทำ...ทันที  ของตัวเองในอนาคตครับ 😊

เลี้ยงมาอย่างไร ก็ได้ไปอย่างนั้น...

#ดีต่อลูก

งานที่"เลี้ยงชีวิต" กับงานที่"สร้างชีวิต"

งานที่"เลี้ยงชีวิต" กับงานที่"สร้างชีวิต" 
อ่านดูเหมืิอนคล้ายกันนะครับ​ แต่ความจริงแล้ว
มันมีมุมที่ต่างกันพอสมควร​ ผมจะเล่าให้ฟังสักนิด
เผื่อได้ข้อคิดอะไรสักอย่างครับ

งานเลี้ยงชีวิตนี่... พูดง่าย​ ๆ​ ว่าสำคัญมาก
ถ้าไม่ทำก็คืออดตายครับ​ ถ้าโสดก็อดตายคนเดียว
แต่ถ้ามีครอบครัวหรือมีภาระเป็นสัตว์เลี้ยง​ด้วยล่ะ
แบบนี้ไม่สวยแน่ครับ

คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ก็ทำงานเลี้ยงชีวิตนี่แหล่ะ

ส่วนงานสร้างชีวิตนี่สิครับ... มันเป็นอีกระดับ
ที่คนทำงานอย่างเราต้องพยายามสร้างให้ได้
เพื่อเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน​ มีกินมีใช้แม้วันไหน
หยุดงานแต่ก็ยังมีเงินเข้า

ทุกวันนี้เราตื่นตัวกันมากขึ้นกับการสร้างรายรับ
ให้ได้หลายช่องทาง​ จึงไม่แปลกที่ในหัวของ
หลายคนไม่สามารถหยุดคิดได้เลย
แม้จะหมดเวลา​ของ​งานประจำไปแล้วแต่ก็ยัง
ทำงานเสริมกันให้วุ่นไปหมด​ 

คนที่เป็นมืออาชีพ​จริงต้องบริหารให้ดี
ไม่ให้งานเสริมมาเบียดเบียนงานประจำหรือ
ทำให้ประสิทธิภาพ​การทำงานลดลง

บางคนขายของออนไลน์​ดีมากครับ
ตอบ​ inbox​ ลูกค้าแบบไม่ต้องหลับต้องนอน
สุดท้ายไปนั่งสัปหงก​ หัวโขกโต๊ะทั้งวัน
ผลงานมีแต่แย่ลง​ จนเพื่อนร่วมงานส่ายหน้า

ทุกคนก็อยากทำงานที่สร้างชีวิตกันทั้งนั้น
แต่ก็ต้องทำงาน​ หาเงินและประสบการณ์​จาก
งานเลี้ยงชีวิตเพื่อไม่ให้ตัวเองขัดสน​ หรือสร้างหนี้

วันนี้หลายคนอาจมองไม่เห็นงานที่สร้างชีวิต
เพราะยังไม่รู้ว่างานที่ใช่​ คืออะไร​ หรือชั่วโมง​บินต่ำ
จนไม่รู้​ว่าจะพัฒนาต่อยอดความรู้เดิมไปสู่ไอเดีย
ใหม่​ ๆ​ ได้อย่างไร

สิ่งที่ต้องทำคืออย่าหยุดคิด​ อย่าหยุดทำเป็นอันขาด
ยึดไว้ซึ่งเป้าหมาย​ ส่วนวิธีการนั้นให้ลองผิดลองถูก
โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค

ถ้านึกอะไรไม่ออก​ ให้นึกถึงเจ้าแมงมุมนะครับ
มันอุตสาหะในการสร้างใย​ เพราะมันรู้ดีว่าเมื่อ
เครือข่ายใยแมงมุม​ของมันแล้วเสร็จ​เมื่อไหร่
มันก็แค่นอนตีพุง​ รอเหยื่อเข้ามาให้สวาปาม

เหนื่อยชั่วคราว​ สบายชั่วโคตร
แบบนี้เรียกได้ว่ามีทั้งอุดมการณ์​แถมยังอุดมกิน
ไม่เจริญ​รุ่งเรือง​ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วครับ

ขอบคุณ​ครับ
ธน​บรรณ​  สัมมาชีพ

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

ผู้ที่เป็นครู

"..ผู้ที่เป็นครู จะต้องนึกถึงความรับผิดชอบ
   เพราะว่าถ้าเป็นครูแล้ว
   ลูกศิษย์จะต้องนับถือได้
   ต้องวางตัวให้เหมาะสมกับที่เป็นครู
   มิใช่วางตัวอย่างหนึ่ง 
   แล้วมาสอนอีก  อย่างหนึ่ง"

#พระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่๙
  พระราชทานเนื่องในวันการศึกษาสัมพันธ์
  ณ.วิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร
  ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๒
 
________________
ขอกราบบูชาและน้อมรำลึกถึงพระคุณของครูทุกๆท่านอย่างสูงสุด...
FB/ จุ๊บแจง ธัญญ์ฐิตา สุมาลี

จะเรียนอะไร ไม่ควรมองที่ปัจจุบัน แต่ให้มองที่อนาคตโดย ดร. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร

จะเรียนอะไร ไม่ควรมองที่ปัจจุบัน แต่ให้มองที่อนาคต
โดย ดร. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
ก่อนที่ผมจะเข้าสู่เนื้อหา ผมอยากจะเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อครั้งที่เรียนอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ของตนเองเสียก่อนครับ ในช่วงที่กำลังจะขึ้นชั้นปีที่ 2 นิสิตที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะต้องเลือกภาควิชาครับ ซึ่งผมจำได้ว่า ภาควิชาวิศวกรรมปิโตรเลียม ในขณะนั้น เป็นภาควิชาที่มีคนเลือกน้อยมาก และไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก ในตอนนั้นภาควิชาที่มีคนเลือกกันมากๆ และเป็นที่นิยมก็คือ ภาควิชาวิศวกรรมโยธาครับ เรียกได้ว่านิสิตที่มีผลการเรียนที่ดี หลายคนจะเลือกเรียนในภาควิชานี้ครับ เพราะในช่วงเวลานั้น โครงการก่อสร้าง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นกำลังบูมมากๆ (ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการพัฒนาประเทศในยุคของ ฯพณฯ นายกฯ ชาติชาย) 
.
ใครจะไปรู้ล่ะครับว่า ในอีก 3 – 4 ปีถัดมา ในปี พ.ศ. 2541 – 2542 ประเทศไทยจะต้องประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง วิศวกรโยธา จากที่เคยเป็นวิศวกรที่มีความต้องการจากตลาดแรงงานสูงมากๆ กลับกลายเป็นอาชีพที่มีความลำบากในการหางานมากที่สุด เพราะโครงการต่างๆ หยุดชะงักลงดื้อๆ เลยครับ วิศวกรโยธาจำนวนไม่น้อยต้องถูกปลดออกจากงาน พอเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมา อุตสาหกรรมที่บูมขึ้นมากลับเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ราคาน้ำมันขึ้นเอาๆ วิศวกรปิโตรเลียม ที่มีคนเรียนไม่มากนัก กลับกลายเป็นวิศวกรที่ตลาดแรงงานต้องการสูงมากๆ และผลักดันให้ภาควิชาวิศวกรรมปิโตรเลียม กลายเป็นภาควิชาที่ได้รับความนิยมสูงสุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีพลังงาน ทำให้วิศวกรปิโตรเลียม เริ่มมีความต้องการจากตลาดแรงงานคงตัวขึ้น ไม่บูมเหมือนแต่ก่อน ทำให้คนที่เลือกเรียนในภาควิชานี้ ไม่ได้มีโอกาสก้าวหน้าในการทำงานเหมือนกับรุ่นพี่ๆ และทำให้ความนิยมในการเลือกภาควิชาวิศวกรรมปิโตรเลียม เริ่มปรับตัวลดลง ตามกระแสของงานใน “ปัจจุบัน”
.
จริงๆ แล้ว การเลือกว่าจะเรียนอะไร ควรจะเลือกจาก “ความชอบ” และ “ความมุ่งมั่น” ของผู้เรียน น่ะดีที่สุดครับ เพราะไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เราก็จะยังคงมีความภาคภูมิใจในอาชีพ และมีความสุขในการทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก 
.
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ มีเพื่อนๆ วิศวกรโยธาหลายคน ที่ตัดสินใจเปลี่ยนสายอาชีพ ไปทำงานด้านอื่น เพราะไม่สามารถทนกับภาวะการว่างงาน หรือไม่สามารถรับกับอัตราเงินเดือนที่ลดลงได้ แต่ก็มีวิศวกรโยธาอีกจำนวนหนึ่ง ที่มีใจรักในอาชีพ กัดฟันทำงานวิชาชีพ และพัฒนาตนเองในสายวิชาชีพเรื่อยมา เชื่อไหมครับว่า ในปัจจุบันประเทศไทย เราขาดแคลนวิศวกรโยธา รุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ (อายุประมาณ 40 – 45 ปี) เป็นอย่างมากนะครับ เพราะคนที่เรียนจบทางด้านวิศวกรรมโยธาในยุคนั้น หลายคนต่างเปลี่ยนสายอาชีพกันหมด และหลังจากนั้นคนที่เลือกเรียนวิศวกรรมโยธา ก็มีจำนวนน้อยลงไปตามลำดับ ทำให้วิศวกรโยธาที่มีอายุเฉลี่ย 40 – 45 ปี ที่อดทนฟันฝ่าทำงานในสายอาชีพ และพัฒนาตนเองให้กลายเป็น สามัญวิศวกร หรือวุฒิวิศวกร มีความต้องการจากวงการวิชาชีพ เป็นอย่างมากเลยครับ
.
เรื่อง “ความชอบ และความมุ่งมั่น” เป็นอันดับหนึ่งครับ แต่ถ้าจะมองปัจจัยข้างเคียงเป็นลำดับที่สอง เพื่อประกอบการตัดสินใจว่า “เราควรเรียนอะไรดี” คงไม่ใช่ “สภาวะในปัจจุบัน” แน่ๆ ครับ แต่เป็น “การคาดการณ์ในอนาคต” อะไรที่กำลังบูมในปัจจุบัน อนาคตอาจจะไม่บูมเหมือนตอนนี้ก็ได้ หรืออาจจะหดหายไปเลยก็มีความเป็นไปได้นะครับ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องพิจารณาประกอบ ต้องเป็น “บริบทแห่งอนาคต” ครับ
.
เมื่อเดือนตุลาคม ปีก่อน ทิม คุก (Tim Cook) CEO ของ Apple ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศฝรั่งเศสว่า “หากผมเป็นนักเรียนฝรั่งเศสที่อายุ 10 ขวบ ผมคงคิดว่า การเรียน coding สำคัญกว่าการเรียนภาษาอังกฤษ ผมไม่ได้บอกให้ทุกคนหยุดเรียนภาษาอังกฤษ แต่ Coding เป็นภาษาที่สามารถสื่อสารกับคน 7 พันล้านคนบนโลกนี้ได้” (http://fortune.com/2017/10/13/tim-cook-coding-english) 
.
ใช่ครับ ในอนาคต สิ่งที่เด็กในยุคนี้ต้องเจอ ต้องประสบมันคือ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (การที่คอมพิวเตอร์ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวของมันเอง) โดยส่วนตัว ผมไม่ได้หมายความว่า ภาษาอังกฤษไม่สำคัญนะครับ แต่ผมเชื่อว่า ภาษาอังกฤษ จะกลายเป็นเรื่องสามัญ หรือเป็นทักษะบังคับ ที่เด็กต้องใช้ได้อยู่แล้ว และความสำคัญของ “สำเนียง” จะลดลงไปอย่างมาก ผมเชื่อว่าในยุคอนาคต ภาษาอังกฤษ จะไม่ใช่ภาษาของคนอังกฤษ หรือคนอเมริกัน อีกต่อไป แต่จะเป็นภาษากลางของคนทั้งโลก ที่สำเนียง ไม่ว่าจะสำเนียงไหน ก็จะได้รับการยอมรับทั้งสิ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น มันคือ “ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์” ที่คนในยุคนั้นจะต้องเข้าใจ และต้องสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือ ในการถ่ายทอดตรรกะ และความคิดสร้างสรรค์ ไปสู่ผลิตภัณฑ์ และการบริการต่างๆ 
.
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตบทบาทของ AI และ Machine Learning จะมีบทบาทมากๆ ในทุกๆ วิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ วิศวกรรม บัญชี การเงินและการลงทุน การสื่อสารมวลชน วงการบันเทิง และแม้แต่วงการการแพทย์ (ที่ปัจจุบันก็เริ่มมีการใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด และมีเครื่องมือในการวินิจฉัยที่ทันสมัย ให้เห็นกันบ้างแล้ว) เรียกได้ว่า Coding (การรู้จักภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์) จะไม่ใช่ทักษะของคนที่ประกอบอาชีพทางด้านโปรแกรมเมอร์ อีกต่อไปครับ แต่จะเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับคนในทุกๆ อาชีพ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต
.
ปัจจุบัน การเรียนรู้จะมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาสาระ (Content Based Learning) คนที่รู้เนื้อหาสาระ ก็จะถือว่าเป็นคนที่มีความรู้ และมีใบปริญญา และวุฒิบัตรต่างๆ เป็นหลักฐานของการมีความรู้ แต่ในอนาคตเนื้อหาสาระต่างๆ จะถูกสืบค้นได้ง่ายมากๆ ผ่านโลกอินเตอร์เน็ต ดังนั้นเนื้อหาสาระ จึงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญกว่ารู้ หรือไม่รู้ คือ “การมีทักษะ ทำเป็น หรือ ทำไม่เป็น” ต่างหากครับ และต่อให้ “ทำเป็น” ก็ต้องมาวัดกันว่า ที่บอกว่า “ทำเป็น” นั้นทำอะไรเป็นบ้าง ทำได้แค่ไหน การเรียนรู้ในโลกอนาคต เราจะสนใจใน “ทักษะ” มากขึ้น (Skill Based Learning) สำหรับวุฒิบัตรต่างๆ จะถูกประเมินจาก “ทักษะ” ว่าทำเป็นหรือไม่ ไม่ใช่ประเมินจาก “รู้หรือไม่” แบบในปัจจุบัน
.
ดังนั้น Coding จึงเป็น “ทักษะ” ที่เด็กควรจะต้องมี เพื่อรองรับอนาคต เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ครับ (http://bit.ly/2NAPHQg และ http://bit.ly/2LsjHAu) เจ้า Coding ที่ว่านี้ ก็คือ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ปัจจุบันความยากของการ Coding ไม่ได้อยู่ที่ Syntax หรือโครงสร้างในการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์อีกต่อไปนะครับ แต่มันอยู่ที่ตรรกะ และความคิดสร้างสรรค์ ในการสร้างภาษาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ นั้นช่วยคำนวณ ช่วยตัดสินใจ หรือช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง
.
หลายๆ เรื่อง ที่ในยุคก่อนต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือเมนเฟรม ในปัจจุบันสามารถใช้โครงสร้างของภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ง่ายๆ และสามารถทำงานผ่าน Microbit (หนังสือ Microbit และ STEM Education เล่มนี้ดีนะครับ http://bit.ly/2uF1ndA) หรือ Smartphone เครื่องเล็กๆ ได้เลย
.
ความยากของภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่การเข้าใจ Syntax อีกต่อไป แต่เป็นการคิดสร้างสรรค์ และการใช้ตรรกะ ในการคิดถึง Flow Chart ที่ครอบคลุม คิดถึง Criteria ที่จำเป็น และการวางลำดับก่อนหลังของกระบวนการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุดต่างหากครับ ดังนั้น Coding จึงไม่ใช่วิชาที่สอนให้เด็กรู้จักกับโครงสร้างภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในแบบที่คนในยุคนี้เคยเรียนมา ไม่ว่าจะเป็นภาษา C ภาษาปาสคาล ฯลฯ แต่เป็นการฝึกให้เด็กคิดอย่างมีตรรกะ คิดโดยมุ่งที่จะแก้ปัญหาเพื่อตอบโจทย์อย่างมีวัตถุประสงค์ต่างหากครับ (เด็กที่ Coding เก่งๆ มักจะเป็นเด็กที่ชอบเรียน และมีผลการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ที่ดี มีความเข้าใจแก่นของวิชาคณิตศาสตร์ในบทต่างๆ ดีมาก ชอบที่จะคิดแก้ปัญหา ชอบที่จะประยุกต์ใช้วิชาคณิตศาสตร์ ผมย้ำมาตลอดนะครับว่า วิชาคณิตศาสตร์ ไม่ใช่แค่คำนวณเร็ว ไม่ใช่แค่การจำสูตร แล้วแทนค่าตามตัวอย่างที่โจทย์ให้มา แต่เป็นการคิดเชิงตรรกะเพื่อแก้ปัญหามากกว่าครับ)
.
ปัจจุบัน Coding สำหรับภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่กำลังได้รับความนิยมในระดับที่ Advanced หน่อย ก็คือ Python ครับ แต่สำหรับเด็กๆ ที่กำลังหัด Coding ก็จะมีการใช้ภาษาที่ง่ายกว่า Python ส่วนใหญ่จะเป็น Block หรือเป็นคำสั่งสำเร็จรูป ที่ให้เด็กสามารถลากมาต่อๆ กัน ตามตรรกะที่เด็กคิด (ผมบอกไว้แล้วไงครับ ว่าปัจจุบันความยากของการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ ไม่ได้อยู่ที่ Syntax หรือโครงสร้างภาษา แต่เป็นตรรกะมากกว่าครับ) เพื่อแก้ปัญหา หรือตอบโจทย์บางอย่างที่ถูกกำหนดขึ้น 
.
สำหรับภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มักจะฝึกให้เด็ก Coding ก็มี ดังต่อไปนี้ครับ (http://bit.ly/2LBltMd)
.
1) Scratch
2) Blockly
3) Swift Playgrounds
4) Alice
5) Twine
6) Lego Mindstorm Robotics
7) Kodu
.
สำหรับที่เรารู้จักกันมากหน่อย ก็จะเป็น Swift Playgrounds ของค่าย Apple อีก 2 ภาษาที่นิยมเช่นกัน ก็จะเป็น Scratch และ Blockly ครับ
.
ปัจจุบันเริ่มมีโรงเรียนสอน Coding เกิดขึ้นบ้างเหมือนกันนะครับ แต่เท่าที่ผมดอดไปพูดคุย หรือสอบถาม ส่วนใหญ่ยังเป็นการสอนแบบเก่า คือ สอนให้เด็กเข้าใจ Syntax และโครงสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ (ซึ่งปัจจุบันมันไม่ได้ยากอะไรแล้วครับ โครงสร้างมันเหมือนภาษามนุษย์ โดยทั่วไปมากๆ) แต่ไม่ได้สอนให้เด็กรู้จักกำหนดปัญหา ไม่ได้สอนให้เด็กฝึกคิด ฝึกตรรกะ ฝึกลำดับขั้นตอนในการแก้ปัญหาเลย คือต่อให้ใช้ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบใหม่ แต่ถ้ายังสอนแบบเก่าๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ
.
สำหรับผมเอง ผมมีความเชื่อครับว่า ภาษาอังกฤษ อย่างไรคงต้องเป็นทักษะสามัญอยู่แล้ว (ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญนะครับ) แต่สิ่งที่จะเป็นทักษะแห่งอนาคต ที่เด็กในยุคนี้ต้องอยู่กับมันตลอดชีวิต ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ก็คือ Coding ครับ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่คิดเหมือนกับผม และเอาอนาคตเป็นที่ตั้งของการเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้ Coding นี่ล่ะครับ ตอบโจทย์เลย 
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
#EducationFacet #พัฒนาการลูก #เรื่องเรียนของลูก #สอนลูก
.
สนใจหนังสือ “ปูทางให้ลูกไป สู่เส้นชัยที่ลูกหวัง” ของ ดร. วิโรจน์: http://bit.ly/BuildTheWay 
.
Photo: http://bit.ly/2LBltMd

10 วิธีพัฒนาทักษะทางสังคมที่ทำให้คุณเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น

10 วิธีพัฒนาทักษะทางสังคมที่ทำให้คุณเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น
.
หากคุณรู้สึกอึดอัดใจในกิจกรรมทางสังคม คุณพยายามมากเกินไปที่จะเข้าร่วมการสนทนากับผู้อื่นเพราะคุณเป็นคนขี้อาย
.
อย่างไรก็ตามคุณสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ด้วยการเริ่มพัฒนาทักษะทางสังคมของคุณ ใน 10 วิธีเหล่านี้เพื่อช่วยให้คุณสนทนากับผู้อื่นอย่างมั่นใจ และเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น
.
.
1. ลองเลียนแบบพฤติกรรมของคนอื่น
.
คุณสามารถทำตัวให้เหมือนกับคนอื่น ๆ ได้แม้ว่าคุณจะรู้สึกไม่เหมือน แต่อย่าปล่อยให้ความวิตกกังวลรั้งคุณไว้ ตัดสินใจที่จะพูดคุยกับผู้คนใหม่ ๆ เริ่มเข้าไปสนทนาแม้ว่าคุณจะ รู้สึกกังวลกับมันก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปมันจะง่ายขึ้นและคุณจะเริ่มพัฒนาทักษะทางสังคมได้เร็วขึ้น
.
.
2. เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ 
.
การเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ด้วยการสนทนากับผู้คนในชีวิตประจำวันที่เจอ เช่นการไปที่ร้านขายของชำแล้วได้สนทนากับแม่ค้า ถึงแม้ว่าคุณอาจจะได้พูดแค่คำว่า ขอบคุณ แต่มันก็เป็นสิ่งดีในการได้เริ่มฝึกพูด จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป
.
.
3.ฝึกถามคำถามปลายเปิด
.
หากคุณต้องการให้การสนทนาของคุณดูน่าสนใจ คุณจำเป็นต้องลองถามคำถามปลายเปิดเพื่อจะทำให้คู่สนทนาของคุณ สามารถตอบความถามได้มากกว่าคำว่า 'ใช่ ' กับ 'ไม่ใช่' การถามคำถามปลายเปิดยังช่วยให้การสนทนาสามารถดำเนินต่อไปได้อีก 
.
.
4. สร้างเป้าหมายให้ตัวเอง
.
บางทีคุณควรสร้างเป้าหมายเล็ก ๆ เช่นคุณอาจจะเริ่มฝึกฝนทักษะเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือคุณอาจต้องการเริ่มต้นเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในชุมชนของคุณ ตั้งเป้าหมายและเริ่มทำเพื่อการพัฒนาทักษะทางสังคมของคุณ
.
.
5. ลองเปิดด้วยคำชม
.
คำชมเชยเป็นประตูที่จะนำไปสู่การสนทนาต่อไป คุณอาจลองชมเชยเพื่อนของคุณในการทำงานหรือลองชมเชยเพื่อนบ้านกับเรื่องทั่ว ๆ ไป อาจเป็นเรื่องรถใหม่ของเขา การแต่งตัวของเขา และคำชมเชยยังเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตรหรือเป็นการสร้างกำลังใจให้ผู้อื่นอีกด้วย 
.
.
6. อ่านหนังสือเกี่ยวกับทักษะทางสังคม
.
หนังสือมีมากมายตามท้องตลาด การอ่านหนังสือเกี่ยวกับทักษะทางสังคมจะสามารถช่วยให้คุณเรียนรู้ทักษะทางสังคมแบบเฉพาะเจาะจงและ วิธีในการเริ่มสนทนา แต่อย่างไรก็ตามการอ่านหนังสือพวกนี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้ได้ หากไม่มีการฝึกฝนปฏิบัติบ่อย ๆ
.
.
7. ใส่ใจภาษากายของคุณ
.
การสื่อสารที่ใช้ภาษากายการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก มันสามารถช่วยให้การสนทนาดูผ่อนคลาย และช่วยให้มีการเปิดรับการสนทนามากขึ้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเรียนรู้การใช้ภาษากายให้ถูกต้องด้วย
.
.
8. เริ่มจากการเข้าร่วมกลุ่มที่ตัวคุณสนใจ
.
บางทีเราอาจจะรู้สึกเข้าสังคมยากเพราะเราอาจจะไม่รู้จักในเรื่องนั้น ๆ เลยรู้สึกกลัว ลองเริ่มต้นจากเข้ากลุ่มสังคมที่สนใจเรื่องเดียวกับคุณก่อนก็ได้ เชื่อว่าจะช่วยให้เรากล้าพูด และกล้าที่จะแชร์ข้อมูลในวงสนทนานั้นมากขึ้น
.
.
9. ติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
ทำไมถึงต้องติดตามข่าวสารในปัจจุบัน ก็เพื่อที่จะช่วยให้คุณสามารถสนทนากับผู้อื่นได้เข้าใจ เวลาที่มีการพูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนั้น แต่ควรหลีกเลี่ยงเรื่องการเมือง เรื่องที่ละเอียดอ่อน อย่างเรื่อง ศาสนา เพศ เพื่อลดการถกเถียงที่จะทำให้สถานการณ์การสนทนาดูแย่ลง
.
.
10. หาแนวคิดใหม่แทนที่ความคิดเชิงลบ
.
หากคุณมีความคิดเชิงลบมากมายในการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เมื่ออยู่ในงานกิจกรรมทางสังคม เช่นความคิดที่บอกกับตัวเองเสมอว่า รู้สึกอึดอัดใจจริง ๆ มันก็จะทำให้คุณปิดกั้น และการสนทนาจะไม่เกิด ดั้งนั้นเราเองควรสร้างแนวคิดใหม่แทนความคิดเชิงลบ เพื่อช่วยให้คุณกล้าพูดและกล้าพบปะผู้คนใหม่ ๆ ได้
.
.
ทักษะทางสังคมที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ หากคุณพบว่าการเข้าสังคมของคุณเป็นสิ่งที่ยาก ลองฝึกฝนตามคำแนะนำนี้ได้
.
การมีทักษะทางสังคมที่ดีไม่ได้มีง่าย ๆ คุณต้องฝึกฝนและเข้าหาผู้คน และเรียนรู้จากการสื่อสารกับผู้อื่น
.
เรียบเรียงโดย L.Thananchai
ที่มา lifehack

#FutureTrends #Futureisnear #Futureisnow

#การเล่นคือวิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพเพราะ....

#การเล่นคือวิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพ
เพราะ....
๑. ทักษะการสังเกต รับฟัง ประมวล ใคร่ครวญ ทดลองลงมือทำ แก้ไข จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและครบวงจร แถมยังเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เด็กจึงได้เรียนรู้แล้วเรียนรู้อีก เมื่อเจอกับปัญหาต่างๆ ในชีวิต เด็กจะสามารถดึงทักษะเหล่านี้ออกมาใช้ได้อย่างอัตโนมัติ

๒. เมื่อเด็กได้ลงมือสร้างสิ่งที่เป็นแค่ความคิดให้ออกมาเป็นสิ่งของให้เขาได้ "เห็น" และ "จับต้อง" ได้ เขาจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาใกล้เคียงกับจินตนาการของเขาหรือยัง ครั้งต่อๆ ไป ความคิดของเขาจะแจ่มชัดและแม่นยำยิ่งขึ้น ต่อยอดให้เกิดจินตนาการที่หลากหลายซับซ้อนต่อไปอีก นี่แหละคือวิถีของนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ทั้งหลาย

๓.เด็กมอง "ขั้นตอน" ในการทำงานได้ทะลุ รู้จักวางแผน ทำงานคู่ขนาน และจัดลำดับความสำคัญ

#มาเล่นกันเถอะ

การเรียนรู้แบบรอบรู้

การเรียนรู้แบบรอบรู้ (Mastery Learning) คือ กลยุทธ์และปรัชญาการศึกษาที่ถูกนำเสนอขึ้นอย่างเป็นทางการโดย เบนจามิน บลูม นักจิตวิทยาการศึกษาชาวสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1968 โดยพัฒนามาจากรูปแบบการเรียนรู้ของ จอห์น บี คาร์โรล (John B. Carroll) ซึ่งมีพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ หากผู้เรียนได้รับเวลาที่จะเรียนรู้เรื่องนั้น ๆ อย่างเพียงพอตามความต้องการของแต่ละบุคคล ก่อนที่บลูมจะเพิ่มเติมว่า ผู้เรียนที่แม้จะมีความสามารถทางสติปัญญาหรือความถนัดที่แตกต่างกัน ก็มีความสามารถที่จะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ได้เช่นเดียวกัน หากผู้เรียนได้รับโอกาสในการเรียนรู้และคุณภาพการสอนที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล

 

ซึ่งความหมายของการเรียนรู้แบบรอบรู้นั้น คือกระบวนการในการดำเนินการให้ผู้เรียนทุกคน ซึ่งมีความสามารถและสติปัญญาที่แตกต่างกัน สามารถเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ได้เช่นเดียวกัน ผ่านการวางแผนการเรียนรู้เฉพาะสำหรับผู้เรียนแต่ละคน หรือแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการเหมือนกัน

ซึ่งองค์ประกอบสำคัญในการเรียนรู้แบบรอบรู้นั้น ประกอบด้วย

1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและพิสูจน์ได้
2. มีการกำหนดเกณฑ์ความรอบรู้ที่ชัดเจน คือทราบว่าความรอบรู้ที่นักเรียนต้องไปถึงนั้น คืออะไรและอยู่จุดใด
3. มีกระบวนการที่แสดงให้ชัดเจนถึงการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างชัดเจน มีความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับนักเรียนได้ทุกคนอย่างเหมาะสมและเท่าเทียมกัน
4. มีกระบวนการที่ชัดเจนสำหรับครูผู้สอนในการประเมินความรอบรู้ ซึ่งยืดหยุ่นได้ความความเหมาะสมของนักเรียนแต่ละคน
5. มีการจัดระเบียบและแสดงผลข้อมูลความก้าวหน้าในความรอบรู้ของนักเรียน และพร้อมในการนำเสนอกับผู้ปกครองและผู้บริหารได้ตลอดเวลา

 

ซึ่งลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบเชี่ยวชาญนั้น สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ดังนี้

- ผู้สอนกำหนดวัตถุประสงค์ในเนื้อหาที่สอนอย่างละเอียด ซึ่งต้องบ่งบอกถึงสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนทำได้และเกิดการเรียนรู้เรื่องนั้นอย่างแท้จริง และต้องจัดเรียงจากสิ่งที่ง่ายไปสู่สิ่งที่ยากและซับซ้อน
- ผู้สอนวางแผนการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนแต่ละคนโดยคำนึงถึงความถนัดและความแตกต่างกันของแต่ละบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องใช้สื่อการเรียนรู้ วิธีสอน หรือเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์
- ผู้สอนแจ้งให้ผู้เรียนเข้าใจในจุดมุ่งหมาย วิธีการเรียน ระเบียบกติกา รวมไปถึงข้อตกลงต่าง ๆ ในการเรียนให้ชัดเจน
- ผู้เรียนมีการดำเนินการเรียนรู้ตามแผนการเรียนที่ได้วางไว้ และมีการประเมินการเรียนตาม วัตถุประสงค์แต่ละข้อ โดยผู้สอนคอยดูแลและให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล
- ส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ไปทีละขั้น หากผู้เรียนไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้สอนต้องมีการวินิจฉัยปัญหาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้เรียน และจัดโปรแกรมการสอนซ่อมเสริมอย่างเป็นระบบ ก่อนที่จะประเมินใหม่อีกครั้ง
- ผู้เรียนดำเนินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดจนบรรลุครบทุกวัตถุประสงค์ ซึ่งผู้เรียนอาจใช้เวลามากน้อยต่างกันตามความถนัดและความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน
- ผู้สอนมีการติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของผู้เรียน โดยเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนในคราวต่อไป

 

จากองค์ประกอบและลักษณะสำคัญจะเห็นได้ว่า กลยุทธ์และปรัชญาการศึกษานี้ เน้นให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายสำหรับผู้เรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถและสติปัญญาของผู้เรียน และช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์หลักที่ได้ตั้งไว้  ซึ่งเป็นการวางระบบที่ส่งเสริมการศึกษาให้กับผู้เรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละบุคคล

 

การเรียนรู้แบบรอบรู้ นับได้ว่าเป็นรากฐานของระบบการเรียนการสอนส่วนบุคคล Personalized System of Instruction (PSI) ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์อย่างเหมาะสม โดยเป็นไปตามความต้องการและศักยภาพของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข โดยมีความกดดันที่น้อยกว่า แต่อาจจำเป็นต้องใช้เวลาที่มากขึ้นกว่าปกติ

 

ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการส่งเสริมกลยุทธ์ทางการศึกษารูปแบบนี้ โดยมีการใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลการเรียนรู้ของผู้เรียนแบบออนไลน์ทำให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้รวดเร็วและทราบถึงข้อมูลสำคัญ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการศึกษารูปแบบนี้

 

เรียบเรียงโดย : นรรัชต์  ฝันเชียร

รู้สึกเวลาไม่เคยพอ หรือความจริงแล้วเราปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบผิดๆ?

รู้สึกเวลาไม่เคยพอ หรือความจริงแล้วเราปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบผิดๆ?
.
อายุเฉลี่ยของมนุษย์อยู่ที่ 60 - 80 ปี โดยประมาณ นับเป็นวันแล้วมีเวลา 21,900 - 29,219 วันเท่านั้น ถ้าสมมติว่าคุณมีอายุสูงสุดอยู่ที่ 60 ปี ตอนนี้มีเวลาเหลือพอที่จะทำตามความฝันของคุณหรือเปล่า?
.
ทุกคนล้วนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ทำไมบางคนถึงใช้เวลาคุ้มค่านัก ต่างจากบางคนที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่คิดว่าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ กลับกลายเป็นไม่ทันเสียแล้ว กับคนที่เห็นกันอยู่หลัด ๆ พรุ่งนี้อาจจะล้มหายตายจากกันไปแล้วก็ได้ 
.
“ชีวิตของเราสั้นเกินไปที่จะใช้มันไปกับสิ่งที่ไม่ชอบ เพราะลำพังแค่สิ่งที่ชอบก็มีเวลาไม่พอแล้ว” - หนังสือบุคคลสำคัญ 2553 -
.
.
คุณอาจจะกำลังปล่อยให้ช่วงเวลาดี ๆ หายไปกับ…
.
1. ความวิตกกังวล
.
ความวิตกกังวล คือ ความคิดที่พยายามควบคุมสถานการณ์ ชีวิต สิ่งรอบตัว คิดล่วงหน้าในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต คิดเผื่อวันพรุ่งนี้วันมะรืน ความกังวลเกิดจากหลายสาเหตุ ความเครียดเรื่องเรียน กาทำงาน แม้แต่ชีวิตความเป็นอยู่ ความซึมเศร้าที่คุณเก็บทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตไว้กับตัวเองนานเกินไป คำพูดที่คอยทำร้าย การกระทำที่ไม่ชอบ ความวิตกกังวลเป็นกิริยาตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งมีประโยชน์ในบางสถานการณ์ ทำให้ตื่นตัวพร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าคุณเอาแต่กังวลคิดถึงแต่เรื่องที่ยังไม่เกิดคุณจะละเลยปัจจุบันที่ควรจะทำให้มันดีที่สุด จนอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้
.
.
2. ความขี้เกียจ
.
“ชีวิตดีแล้วหรือถึงขี้เกียจ” พออ่านประโยคนี้แล้วก็อาจจะมีสะดุ้งกันบ้าง  ตามธรรมชาติของมนุษย์มักหาเหตุผลมาหักล้างความผิดของตนเองทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่เวลาทำความผิดเดียวกันแต่ถ้าเป็นคนอื่นทำ ความผิดจะทวีคูณ แต่ถ้าเป็นคุณเองทำผิดกลับรู้สึกว่ามันคือเรื่องเล็กน้อย นักจิตวิทยาอธิบายว่า พฤติกรรมสองมาตรฐานนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว “กลไกลป้องกันจิตใจ - หาเหตุผลแก้ต่าง” โดย -ซิกมันด์ ฟรอยด์- คือการหาเหตุผลมาอธิบายด้วยมุมมองที่เป็นบวก เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมของตนเองให้ “ฟังแล้วดูดี” เพื่อหลีกหนีความกังวล ความความรู้สึกด้านลบ และเช่นเดียวกับการที่รู้สึกขี้เกียจ คุณจะหาเหตุผลบอกกับตัวเองได้เสมอว่า “พรุ่งนี้ค่อยทำ”
.
.
3. สิ่งที่ไม่ชอบ
.
ถ้าถามว่าอะไรคือ สิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบในชีวิต คำตอบของแต่ละคนคงจะมีหลายรูปแบบ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองชอบ ไม่ชอบอะไร หรือคำตอบของบางคนอาจจะแค่ ชอบอยู่เฉย ๆ ก็ได้เป็นคำถามปลายเปิดที่ช่วงจังหวะของชีวิตมีเรื่องที่เข้ามามากมายต่างกันออกไป แต่คนส่วนใหญ่ดันให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ชอบนั้นยาวนานกว่าปกติ เช่น ไม่ชอบคนคนนี้เลย จะทำยังไงดีที่ไม่ต้องพบเขาอีกบอกยังไงไม่ให้เข้ามายุ่งในชีวิต สุดท้ายแล้วคุณก็ยิ่งยึดติด คิดถึงแต่หน้าคนคนนั้น ไม่ยอมปล่อยวางและคนที่ทุกข์ก็คือตัวคุณเอง
.
.
4. ยึดติดกับช่วงเวลา
.
ติดอยู่ในช่วงเวลาที่รายล้อมไปด้วยความรู้สึกที่อยากหยุดไว้ให้นานที่สุด เหตุการณ์อาจจะเกิดและจบลงไปแล้ว แต่คุณยังคงติดอยู่กับช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจที่สูญเสียใครบางคนไปจากชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว ช่วงเวลาที่ประทับใจที่สุดจากการรอคอยมานานแสนนานได้สิ้นสุดลง ความรู้สึกเหล่านี้มันทำให้คุณไม่ก้าวไปข้างหน้า 
.
.
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก “หากมัวแต่พยามทำในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำในแบบที่เป็นตัวเองเสียที” อย่าเอาใจตัวเองไปผูกไว้กับความทุกข์ ความผิดหวังหวัง เพราะมันไม่มีทางจะก้าวไปข้างหน้า
.
“ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นทางแยก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี แล้วจงเลือกเถิด...เลือกให้ดีเถิด” -สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-
.
หากลองนับถอยหลังจาก 21,900 วัน ตอนนี้คุณเหลือเวลาในการทำตามความฝันกี่วัน?
.
เรียบเรียงโดย : Mi.Mitee
กราฟิกโดย : Maprang

เรารู้ว่าพัฒนาการช่วง 0-7 ปีนั้นสำคัญ และเราก็พยายามทำความเข้าใจ

Q: เรารู้ว่าพัฒนาการช่วง 0-7 ปีนั้นสำคัญ และเราก็พยายามทำความเข้าใจ แต่หากเราเอง (พ่อแม่) ก็เป็นคนที่เติบโตมาอย่างไม่สมบูรณ์ ไม่ได้รับ sense of touch หรือไม่ได้พัฒนา sense of movement ในช่วงวัยเด็กเหมือนกัน เราเองก็มีขีดจำกัด เราจะเข้าใจและดูแลลูกตามแนวคิด 12 senses ได้ไหม?

หมอปอง: สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้คือ ‘พลังงาน’ เช่น น้ำในแก้ว เมื่อเอาไปใส่ในตู้เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง น้ำก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง หรือถ้านำน้ำในแก้วนี้ไปต้ม น้ำจะระเหยกลายเป็นไอ น้ำจะเปลี่ยนรูปหรือสถานะ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากพลังงานที่เราใส่เข้าไป พลังงานนี้จะเปลี่ยนสถานะของทุกสิ่งทุกอย่าง

ทางการแพทย์มนุษยปรัชญาจะบอกไว้ว่า “ลูกจะทำให้พ่อแม่โต” ตอนนี้เรารู้ว่าเราไม่มี แต่เราต้องแสดงให้เห็นว่าแม้กระบวนการจะยาก แต่เราพร้อมที่จะพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้นไปพร้อมๆ กับเขา นี่เป็นพลังงาน

เรารู้ว่าเรายังไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์ ไม่มีใครเคยเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์มาก่อน แต่เด็กจะรับรู้ถึงพลังงานและความพยายามของพ่อแม่ที่จะทำให้ดีขึ้นได้ แล้วเด็กจะรับรู้ว่าทุกคนจะดีขึ้น ตรงนั้นต่างหากที่ทำให้ลูกของเราเจริญเติบโต

แต่ถ้าเรารู้ทฤษฎีทุกเรื่องแล้ว แต่เรากลับไม่ทำ ไม่พยายามทำให้ดีขึ้น เช่น พ่อแม่บอกให้ลูกอดทน บอกให้ลูกไปวิ่ง แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ออกไปวิ่งกับลูก และไม่อดทน ลูกก็รับรู้ได้ว่า “พ่อแม่ไม่ได้ทำ แล้วทำไมเขาต้องทำ” ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่พ่อแม่ใส่เข้าไปให้ลูก ตอนนี้เรารู้แล้ว พลังที่เราใส่ให้กับครอบครัว ในการดำเนินชีวิตจะเป็นตัวเปลี่ยนแปลงสถานะของลูกจากที่เป็นเด็กอยู่ให้โตขึ้น ถ้าพ่อแม่อยู่ในทิศทางนี้ด้วย เราก็จะเติบโตไปพร้อมกับลูก

ครูอุ้ย: “เด็กจะเป็นอย่างที่เราเป็น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราพูด” สำหรับเด็กอนุบาลจะรู้ว่าความดีคืออะไร และถ้าเราเป็นคนดีให้กับเขา เด็กก็จะรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ไม่ได้หลอกเขา เพราะคนคนนี้พยายามจะเป็นคนดีขึ้นในทุกๆ วัน บางวันเราอาจจะหงุดหงิด อารมณ์เสีย ใจร้อน ซึ่งเด็กอาจเป็นคนแหย่เรา เพื่อตรวจสอบเราว่าเรายังมีอารมณ์เหล่านี้อยู่หรือไม่ เมื่อเราอารมณ์เย็นก็จะไม่มีเด็กคนไหนที่ร้อน ดังนั้น เราควรให้โอกาสตัวเองก่อน เมื่อให้โอกาสตัวเองก็จะเป็นคนที่พัฒนาได้

เด็กบางคนที่เราบอกว่าเขามีปัญหา เราก็ต้องให้โอกาสและให้เวลากับเขา เหมือนที่เราให้โอกาสตัวเอง เราเป็นคนใจร้อนก็อยากจะพัฒนาให้ใจเย็น เราจะใจเย็น ไม่ร้อนตามเด็ก เมื่อเด็กเห็นว่าเราใจเย็น เด็กก็จะเปลี่ยน เราต้องเลี้ยงเด็กให้ดีเพื่อให้เขาเป็นพลังแผ่นดิน

อ่านรายละเอียดมากกว่านี้ได้ที่ https://thepotential.org/2020/01/14/qa-the-twelve-senses/

#ThePotential #พลังคนรุ่นใหม่พลังสังคม #FamilyPsychology

งานกลุ่ม สอนอะไรเด็กๆ บ้าง

ผมชอบให้ลูกทำงานกลุ่ม และอยากจะบอกคุณครูทุกคนว่างานกลุ่มที่ดี คืองานที่เด็กคนเดียวไม่สามารถทำสำเร็จได้  ถ้างานกลุ่มที่เด็กคนเดียวสามารถทำเสร็จได้ อันนั้นไม่ใช่งานกลุ่มครับ😆

แล้วงานกลุ่ม สอนอะไรเด็กๆ บ้าง

1.สอน Concept การทำงานในชีวิตจริง เรียนรู้ว่างานจริงๆ คนเดียวไม่สามารถทำสำเร็จได้ มันต้องมีการร่วมกันทำงานของหลายๆคน ยิ่งงานชิ้นใหญ่ขึ้นก็ต้องใช้คนมากขึ้น  เวลามากขึ้น

2.สอนให้รู้ว่า กาทำงานไม่เหมือนกับการเรียนหนังสือ ทำข้อสอบ ที่ตัวเองเก่งคนเดียวก็พอ  แต่มันต้องช่วยกันไปทั้งทีม  ทำงานกับคนอื่นได้ เป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตามที่ดี 

3.สอนการวางแผน การแบ่งงาน  การทะเลาะกันแบบสร้างสรรค์ ติเพื่อก่อ  เพื่อให้งานออกมาดี  และรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเอง

4.สอนการบริหารจัดการเงิน ทรัพยากรที่มี ที่ต้องใช้ในการทำงานกลุ่มให้สำเร็จ  ใครลงเงิน ใครลงแรง 

5.สอนให้รู้จักยอมรับในความสามารถ ข้อเด่น ข้อด้อย ของตัวเองและของคนอื่นได้  (ถ้าคาดหวังมากเกินไป ก็ต้องไปทำคนเดียว)

👍เด็กที่ทำงานกลุ่มเก่ง ไม่ใช่เด็กที่เก่งคนเดียว ทำงานอยู่คนเดียว แต่เป็นเด็กที่บริหารจัดการชีวิตตัวเองได้ เด็กที่รู้บทบาทหน้าที่ของตัวเองและของผู้อื่น ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี จนงานสำเร็จ....

เด็กที่ทำงานกลุ่มเก่งๆ... ในชีวิตจริงเมื่อโตขึ้นก็จะทำงานเก่งด้วยเช่นเดียวกันครับ  อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้  เข้ากับคนอื่นได้ วงไม่แตก 😊

#ดีต่อลูก

💢การปฏิรูปการศึกษา ในยุค Digital Disruption💢

💢การปฏิรูปการศึกษา ในยุค Digital Disruption💢
.
สงครามโลกครั้งที่ 3 เปิดฉากขึ้นแล้ว …
ทิ้งปืน ระเบิด หรือขีปนาวุธ ไว้ข้างหลัง
แต่โลกกำลังห้ำหั่นกันด้วยการค้าและเทคโนโลยี
.
🇺🇸🇨🇳สองยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
เปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด ข่าวการจับตัวผู้บริหารระดับสูงของหัวเหว่ยที่แคนาดา กลายเป็นที่จับตาไปทั่วโลก ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ลงมาถึงระดับผู้บริโภคอย่างเราๆ
ต่อไปเนื้อหาที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของหัวเหว่ยจะถูกบล็อก ไม่ให้สามารถเล่นในอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล
มีการวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอเมริกาพยายามเร่งสกัดกั้นจีนทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้ช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาด 5G เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างสิ้นเชิง
.
🇨🇳แต่จีนก็ยังไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา หัวเหว่ยเพิ่งจะออกมาประกาศความสำเร็จการทดสอบเทคโนโลยี 5G ใน 50 ประเทศทั่วโลก และยังนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ที่ประกาศว่าจะออกวางขายตามท้องตลาดในอีก 2 เดือนข้างหน้า
.
นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ตรงกันว่าเทคโนโลยี 5G จะขยายตัวอย่างจริงจังในปี 2565 นับถอยหลังอีก 3 ปี หากใครไม่อยากตกขบวน ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันนี้
.
📌Digital Disruption คือสิ่งที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ การแทรกแซงของเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรต่างๆ
อย่าง ธนาคารพาณิชย์ที่ปิดตัวไปกว่า 40 สาขา ในครึ่งปีแรกของปี 2561 เพราะการเข้ามาของ Internet banking และยังมีแนวโน้มปิดตัวต่อเนื่อง ต่อไปธนาคารอาจอนุมัติเงินกู้ได้ภายในไม่ถึง 1 นาที โดยไม่ต้องใช้คนแม้แต่คนเดียว
.
📌สาขาวิชาที่ถูก Digital Disruption มากที่สุด คือ ธุรกิจอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายไร้สาย หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รองลงมาคือสาขาวิศวกรรม ความรู้มีอายุสั้น สิ่งที่เรียนไปแล้วกลับนำมาใช้ไม่ได้ เพราะมีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวินาที
คำถามสำคัญที่ท้าทายครูในยุค 4.0 มากที่สุด เห็นจะเป็น … แล้วเราจะเรียนไปทำไม ?
.
The more I study the more I know.
The more I know the more I forget.
The more I forget the less I know.
So why I study ?
“ฉันเรียนมาก ก็ยิ่งรู้มาก …ฉันรู้มาก ก็ยิ่งลืมมาก …สุดท้ายฉันกลายเป็นคนไม่รู้อะไรเลย แล้วฉันจะเรียนไปทำไม ?”
นี่คือคำถามที่สั่นสะเทือนวงการการศึกษาในยุค Digital Disruption …เมื่อทุกคำถาม ค้นหาคำตอบได้ใน Googles การป้อนความรู้แบบยัดเยียด และตำราในห้องเรียนจึงไร้ความหมาย
.
ผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่สนใจใบปริญญา แต่ดูแค่ Performance Characteristic หรือคน ๆ นั้น ทำอะไรเป็น เก่งพอ และมีทักษะเหมาะสมกับวิชาชีพหรือไม่ เปรียบได้กับนักฟุตบอลอาชีพที่ถูกสโมสรชั้นนำซื้อตัวในราคาสูงลิบลิ่ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ แค่มีฝีเท้าที่หาตัวจับยากเท่านั้น
.
นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนออกจากระบบการศึกษากันมากขึ้น โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา เพราะหลายคนจบออกมาก็ไม่มีงานทำ และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ สถานการณ์นี้ทำให้เราต้องตระหนัก ไม่นิ่งนอนใจ และเห็นความสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง
.
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา กล่าวถึงแนวทางหลักในการปฏิรูปการศึกษา ไว้ดังนี้
การออกแบบการศึกษา โดยให้ผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ทั้ง ๆ ที่เรามีการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สำเร็จเท่าที่ควร เพราะหลุมดำ 3 ข้อ นั่นคือ
🔹1.ครูสอนความรู้เดิม ๆ
🔹2.ครูมีวิธีสอนแบบเดิม ๆ
🔹3.ครูสอนโดยเลือกจากความสนใจของตัวครูเอง
ครูต้องตั้งหลักใหม่ เพราะความสนใจของเด็กยุคนี้ ไม่เหมือนความสนใจของเราแล้ว การสอนแบบ “ร้อยเนื้อทำนองเดียว” ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ยังคงสอนเหมือนเดิม โดยไม่ได้สนใจว่าเด็กคิดอย่างไร ใช้ไม่ได้ผล ครูต้องรู้จักเปลี่ยนจังหวะตามเนื้อเพลง ต้องค้นหาว่าสอนอย่างไรเด็กถึงจะสนใจฟัง และสามารถนำไปต่อยอดจนกลายเป็นการเรียนรู้โดยไม่สิ้นสุด
.
🔸การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร🔸
ต้องยอมรับว่าหลักสูตรที่เรามีอยู่ในขณะนี้ล้าสมัยไปแล้ว หลักสูตรแบบใหม่ ต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดยครู ผู้บริหาร และสถานศึกษา ต้องสามารถแก้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอคำสั่งจากส่วนกลางเท่านั้น เพราะไม่มีใครเข้าใจโรงเรียน ครู หรือเด็ก ไปมากกว่ากว่าคนในพื้นที่
🔸การทำงานเป็นทีม🔸
ในยุคนี้เราไม่ต้องการ Superhero หรือผู้นำที่เก่งเพียงคนเดียว แต่เราต้องการ Collective Leadership หรือผู้นำที่พร้อมรับฟังความคิดเห็น ผู้บริหารต้องพร้อมทำงานร่วมกับครู ครูก็ต้องมีกระบวนการเรียนรู้ บูรณาการสอนร่วมกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างสอนเฉพาะรายวิชาของตัวเองเหมือนที่ผ่านมา ต้องเสริมการทำงานเป็นทีม เพื่อรวมเป็นพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
.
💢กลุ่มบริษัทข้ามชาติ ดีลอยท์ โกลบอล ร่วมกับ Global Business Coalition for Education ศึกษาเรื่อง Digital Disruption
คาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในตลาดแรงงานอีก 11 ปีข้างหน้า พบว่าในปี 2573 มีโอกาสที่แรงงานหนุ่มสาวกว่า 1.8 ล้านคนทั่วโลก จะกลายเป็นคนตกยุค ล้าสมัยและเสี่ยงตกงาน เพราะถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ และขาดทักษะหรือไม่มีคุณสมบัติที่ตรงความต้องการของตลาดแรงงาน
💢ถ้ายังไม่ปรับตั้งแต่วันนี้ ลูกหลานเราก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น …ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยน เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับโลกอนาคต…🌎🌏

              ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ



              ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ 




             ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และ ข้อความ



             ในภาพอาจจะมี ข้อความ